13 ธันวาคม 2555

qa 261-270

๒๗๐.

ถาม

เห็นร่างกายกับรู้สึกตัวแยกกันบ้าง รวมกันบ้าง จะทำอย่างไรต่อดี

ตอบ

การกำหนดรู้คือกรรมวิธี จึงเอาสติออกมาเป็นผู้รู้ ผู้ดู ผู้เห็น ไม่ให้รวมเป็นตัวอุปาทานทุกข์... ให้ทำนาน ๆ ทำต่อเนื่อง ทำจนกระทั่งมันแยกได้ถาวร สติโตกว่านี้แล้วจิตจะพึ่งได้ จะเห็นร่างกายเป็นเพียงแค่นิมิตรกรรมฐานเท่านั้น

ถาม

เห็นร่างกายง่วงนอนแต่รู้สึกไม่ง่วงเลย ถูกหรือไม่

ตอบ

เริ่มดีขึ้น

ถาม

รู้สึกตัวกับจิตเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่

ตอบ

รู้สึกตัวคือสติเกิดจากจิต แต่ไม่ใช่ตัวจิตทั้งหมด

ถาม

ปฏิบัติจบแล้ว กลับบ้านทำตัวอย่างไรดีครับ

ตอบ

ตัวทำอย่างไรก็ได้ แต่ใจต้องเดินอยู่ในมรรค ฝึกอยู่กับรูปนามอย่าอยู่กับความคิด

ถาม

กราบขอบพระคุณครับ

ตอบ

ไม่เป็นไร

๒๖๙.

ถาม

ถ้าการปรินิพพานไม่ได้หมายถึงตาย ทำไมหนังสือพุทธศาสนาที่สอนนักเรียนทุกยุคจึงบอกว่าพระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ปรินิพพาน และไม่ได้อธิบายอะไรต่อ จนเข้าใจว่าปรินิพพานคือการตาย

ตอบ

เรื่องการตายทางรูปกายกับการตายของอวิชชาเป็นสิ่งที่อธิบายคู่กันมาได้เสมอทุกยุคทุกสมัย เหมือนเปลือกกับเนื้อก็แล้วแต่ปัญญาของผู้ที่จะรับประทาน... การอธิบายที่มีรูปลักษณ์ประกอบนั้นง่ายต่อความเข้าใจ แต่จะถึงเนื้อหรือไม่อยู่ที่การพิสูจน์...ที่สำคัญอย่าหลงเห็นเปลือกว่าเป็นเนื้อ.. ตายเป็นเปลือก นิพพานเป็นเนื้อ... ตายเป็นเรื่องของธาตุ 4 ปรินิพพานเป็นเรื่องของขันธ์ 5 ... สุดท้ายอย่าได้เอาผิดเอาถูกกับอักษร คำพูดจนลืมพิสูจน์ศึกษา สภาวธรรมบางอย่างมิอาจสัมผัสได้ด้วยตา ด้วยความคิด อนิทัสสนะ ปฏิฆาธัมมา

๒๖๘.

ถาม

ในขณะที่ปฏิบัติ 3 วันแรกจิตจะว่างไม่คิดฟุ้งซ่านเลย มีเวทนาเกิดขึ้นอย่างเดียว พอวันที่ 4-5 เราจับเวทนาตัวนั้นได้ มันจะสลับไป- มา เมื่อไหร่เวทนาจะดับสนิทคะ

ตอบ

เวทนาทางกายดับได้ด้วยอิริยาบถ เวทนาทางจิตดับได้ด้วยการถอนอุปาทานความยึดติดออกไป... ความจริงหากถอนอวิชชาในขันธ์ 5 ได้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่ทุกข์แต่เป็นธรรม เป็นธรรมชาติเช่นนั้นเอง

๒๖๗.

ถาม

ขณะที่มาปฏิบัติธรรม ขณะเดินจงกรมมักมีความคิดฟุ้งซ่านไปทางโลก ควรแก้ด้วยวิธีใด แต่รู้สึกไม่เป็นทุกข์เหมือนกับปล่อยวางได้ เช่น เรื่องงานและเรื่องส่วนตัว อย่างนี้ถือว่าบรรลุธรรมซักกี่เปอร์เซ็นต์คะ และขอให้ท่านแนะนำการปฏิบัติต่อไปค่ะ

ตอบ

หากฝึกสติไปด้วย คิดไปด้วยจะรู้สึกได้ว่าไม่เป็นทุกข์กับความคิด แต่นี่ยังไม่นับเนื่องเข้าในการบรรลุธรรม เธอต้องมีสติรู้ตัว รู้จิต รู้เท่าทันความคิดเกิดดับให้เร็วหรือชัดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมันหายไปหมดโน้นน่ะ

๒๖๖.

ถาม

การขออธิษฐานก่อนทำบุญหรือทำสมาธิ มีผลจริงไหม ต้องขอหรือไม่ขอ โดยเฉพาะก่อนทำสมาธิต้องอธิษฐานให้ดีจะมีผลมากมายจริงหรือเปล่าคะ

ตอบ

อธิษฐาน คือการตั้งใจ ตั้งเป้าหมายไว้ว่าต้องเพียรทำไปให้ถึง... หากคิดจะขอคุณจะไปขอจากใคร ใครคือผู้มีอำนาจที่จะทำให้การขอนั้นสำเร็จผล หรือมองอีกในมุมหนึ่งตัวผู้ขอนั้นมีคุณธรรม คุณสมบัติที่จะได้รับตามคำขอนั้นหรือยัง... กุศโลบายมีไว้เพื่อสร้างความพร้อมให้กับคนที่ยังมีอินทรีย์อ่อนเท่านั้น

๒๖๕.

ถาม

การพิจารณาร่างกายขณะเจริญสติทำอย่างไร ในขณะทำงานเราไม่สามารถยกมือได้ ดังนั้นเราจะสร้างความรู้สึกหรือความรู้สึกด้านเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จากการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร โปรดอธิบาย

ตอบ

ร่างกายนิ่งหรือเคลื่อนไหวอย่างไร มีเวทนาอะไรปรากฏกับกายก็ให้รู้ อย่าเข้าไปเป็นเท่านั้นพอแล้ว... ขณะทำงานไป กายทำอะไรก็ให้รู้ จิตคิดอะไรก็ให้เห็น อย่าเผลอเข้าไปเป็นตามอารมณ์ที่มันเกิดก็แล้วกัน

๒๖๔.

ถาม

วันนี้มีอาการเบื่อหน่าย แต่รู้สึกตัวเองว่าจิตห้ามได้ สั่งได้ว่าห้ามเบื่อค่ะ ต้องเดินต่อเนื่องหรือสร้างจังหวะต่อไป ยิ่งเบื่อยิ่งทำมากขึ้น /อยากทราบว่าอย่างนี้เรียกว่าเป็นการพัฒนาเพิ่มขึ้นหรือลดลงค่ะ / ถ้าลดลงควรแก้ไขตนเองอย่างไรคะ / และแบบนี้เรายังตกอยู่ในความคิดของตัวเราเองอยู่หรือเปล่าคะ

ตอบ

ถือได้ว่าเป็นผู้มีความเพียร วิริยินทรีย์เริ่มเบ่งบานงอกงาม ซึ่งแน่นอนว่าน่าจะส่งผลให้อินทรีย์ตัวอื่นเช่น สติ สมาธิ ปัญญา งอกงามตามมา... แม้จะเป็นความคิดแต่ก็เป็นสัมมาสังกัปปะ มีคุณมากกว่าเป็นโทษ กุศลจิตนั้นเกื้อกูลการทำความเพียรเสมอ

๒๖๓.

ถาม

ขอให้หลวงตาอธิบายคำว่า “รูป-นาม” ให้ชัดเจนด้วย

ตอบ

รูป-นาม คือ การที่มีสติตื่นรู้อยู่กับกายได้โดยไม่ต้องกำหนดรู้

ถาม

อยากให้หลวงตาอธิบายคำว่า “ระเบียบกับยึดติด” เนื่องจากมีผู้ปฏิบัติธรรมมาใหม่ยังไม่เข้าใจ เช่น การนั่ง การเดินจงกรม ว่าทำไมต้องนั่งที่เดิม เค้าบอกว่านั่นคือการยึดติด แล้วมานั่งที่ผู้อื่น

ตอบ

ระเบียบวินัยอะไรก็ตาม เป็นกรอบของการรักษากายและใจให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสม ไม่เบียดเบียนตนและคนอื่น มีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นแกนกลาง จุดมุ่งหมายอยู่ที่การไถ่ถอนความไม่รู้แจ้งอันเกิดแต่จริตนิสัยตามใจ... ผู้ฉลาดย่อมนำเอาระเบียบมาฝึกฝนขัดเกลาจิตตน... ระเบียบที่ถูกต้องเป็นธรรมนำสุขมาให้ผู้สมาทานเสมอ

ความยึดติดมีฐานกำเนิดจากความไม่รู้จึงทำไปด้วยอำนาจอวิชชา ตัณหา ราคะ โทสะ โลภะ โมหะ

ถาม

เรียนถามเรื่องการแยกรูป-แยกนาม ให้กระจ่างชัดขึ้นได้อย่างไรคะ

ตอบ

หากเกิดความรู้ตัวทั่วพร้อม สมาธิตั้งมั่น ปัญญายถาภูตญาณเกิด รูปนามจะกระจ่างชัดขึ้นมาเอง

๒๖๒.

ถาม

ทำอย่างไรดีคะถึงจะได้ความรู้สึกเหมือนอยู่ที่วัด โยมทำเองได้รู้สึกแค่แผ่วๆ เหมือนที่หลวงตาเคยบอกไว้นิสัยโยมชอบให้มีอาจารย์คอยแนะแนว ขอความกรุณาจากหลวงตาช่วยสอนด้วยค่ะ

ตอบ

ทำเหตุให้เหมือนอยู่ที่วัด ผลมันก็จะออกมาเป็นเช่นนั้น ต้องทำให้ถึงธรรม ธรรมจึงจะให้ผล รู้จักสังเกต ละเอียดอีกหน่อย ค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อน อย่าขี้เกียจ ฝึกรู้ตัวให้สม่ำเสมอ กายพร้อม ใจพร้อม ธาตุ ขันธ์ อินทรีย์พร้อม...ธรรมก็พร้อม.

๒๖๑.

ถาม

1.ตามดูประมาณหนึ่งปี ระยะนี้จะรู้สึกถึงความแปลกปลอมที่เข้ามากระทบจิตได้เร็วและชัดขึ้น แม้แต่การดูหนังฟังเพลงหรือแค่นั่งใกล้คนอื่น จะรู้สึกถึงคลื่นที่ออกมากระทบใจเราแล้วจะรู้สึกแน่น อึดอัดที่หน้าอกมาก พอรู้แล้วก็ดับไป ปัญหาคือไม่ชอบเลย อยากถามว่าเราสามารถป้องกันไม่ให้คลื่นเหล่านี้เข้ามากระทบถึงใจเราได้อย่างไร

ตอบ

ไม่ต้องไปตามดู หากฝึกความรู้สึกตัวเข้มจะรู้เท่าทัน จากสติให้เป็นสมาธิ และป้องกันการกระทบได้และยิ่งจะดีมาก แต่หากทำให้ต่อเนื่องจะเห็นเหตุของอวิชชา ปัจจัย และความสลายไป นี่ก็คือปัญญา กระทบก็ช่าง สติเราต้องตั้งมั่นอย่าหวั่นไหวตาม ทำเหมือนเสาหินที่ถูกลมพัดยังไงอย่างงั้น ส่วนอาการที่เล่ามาค่อนข้างวิตกวิจารณ์อุปาทานมากไป ฝึกดูจิตกลับไหลเข้าไปในอาการเสียนี่

ถาม

2.จะรู้ถึงลางสังหรณ์ที่จะเกิดเรื่องร้ายๆหรือดีกับเราในอนาคตซึ่งเกิดจริงๆแม่นเกิน100% แต่ไม่ทราบว่าเหตการณ์จะเป็นยังไง เป็นเองตั้งแต่เด็กแล้ว ปัญหาคือไม่ชอบเลย ทำให้เรากังวลล่วงหน้า มีวิธีแก้ยังไงที่จะทำให้ไม่ต้องรู้สึกถึงลางสังหรณ์นี้

ตอบ

ฝึกสติ ปฏิบัติการล้างใจจริง ๆ จัง ๆ ซะสิ ปัญญาที่ได้จากการรู้แจ้งจะละลาย ล้างถ่ายถอน ล้างสังหรณ์ไปเอง.

ไม่มีความคิดเห็น: