13 ธันวาคม 2555

qa 311-320

๓๑๖.

ถาม

ตอนนี้ผมน่าจะถึงขั้นที่มีธาตุรู้เห็นจิตเกิดดับบ่อยๆ รู้เท่าทันการปรุงแต่งมากขึ้น แต่จิตก็สงบขึ้นเรื่อยๆ เห็นความสงบทำงานเกือบตลอดเวลา ก็เลยต้องดูจิตว่างและปล่อยวางสิ่งที่เกิดขึ้นจะทำการเดินจงกรมยกมือแบบก่อนมันจะหนักๆ เลยเหมือนทิ้งรูปแบบไปเลย การละเลยรูปแบบจะทำให้เนิ่นช้าไหมคับ อยากขอคำแนะนำ

ตอบ

ลองทำดู เดี้ยวก็รู้เอง...ตำรวจแท้แม้ไร้เครื่องแบบก็จับโจรได้เลย หากผิดก็ให้คิดว่าเป็นทุนการศึกษา หากถูกความก้าวหน้าก็ปรากฎ "ไม่คิด ไม่ซื่อ ไม่ยึด ไม่ถือ " คือธรรมแท้

๓๑๕.

ถาม.

ปฎิบัติธรรมมาหลายปีในรูปแบบจะใช้วิธีดูลมหายใจ และเมื่อจิตไปนึกคิดเรื่องต่างๆ สติจะรู้ทันบ่อยๆ สิ่งที่คิดอยู่ก็จะดับไป ปัจจุบันรู้สึกว่าจิตเป็นสิ่งที่เราบังคับบัญชาให้เป็นไปอย่างที่เราต้องการไม่ได้ อยากถามว่าเมื่อรู้ทันจิตคิด รู้เห็นจิตที่ปรุงแต่งบ่อยๆ ขั้นตอนต่อไปทำอย่างไร

ตอบ

รู้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ รู้จนตัวปรุงแต่งหาย เป็นไปได้สังเกตดูต้นตอบ่อเกิด เหตุปัจจัยสมุหัยของการปรุงแต่งแล้วจะแจ้งในอริยสัจจ์

๓๑๔.

ถาม

ปฎิบัติแบบเคลื่อนไหวมาสักระยะหนึ่ง รู้สึกจิตใจเปลี่ยนแปลงพอควร ความรู้สึกตัวดี แต่ไม่ค่อยต่อเนื่องมักเผลอเวลาพูดคุยหรือทำกิจกรรมกับเพื่อน ทุกวันนี้มักมีอาการเบื่อหน่ายในการแสวงหาอยากอยู่คนเดียว ไม่อยากพูดกับใคร แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังเห็นเป็นแค่อาการอย่างหนึ่งเท่านั้นแต่ก็ออกจากอารมณ์ไม่ได้มันมาให้เห็นเป็นระยะออกยากมาก ผมต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะถึงสภาวะที่ว่าหลุดพ้น อยากปฎิบัติให้ถึงสภาวะนั้น

ตอบ

เบื่อก็ให้รู้ว่าเบื่อ...ฝึกสติให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ จนสามารถเห็นไตรลักษณ์ปรากฎในทุกอารมณ์ ฝึกเฉยกับความเบื่อ เดี้ยวมันจะหายคลายดับไปเอง อย่าหลงมายาแห่งมารเลย

๓๑๓.

ถาม

กำลังเคลียร์งานเเล้วจะไปวัด และร่างกายยังไม่พร้อมเป็นพาร์กินสันเริ่มต้นยังไม่มีอาการสั่นยังเดินและใช้ชีวิตปกติได้ และมีโรคเครียดจากการทำงาน อยากทราบว่าชึวิตของคนเราเป้าหมายอยู่ที่ไหน

ตอบ

ก่อนอื่นต้องรู้จักความหมายของชีวิตก่อนว่ามันคืออะไร ประกอบไปด้วยอะไร? จะอยู่หรือควรพัฒนาไปทางไหน? ซึ่งก็แน่นอนว่าวิธีการเฝ้าดูชีวิตก็คือภาวนานั่นเอง ทำให้มันสงบคือ สมถะภาวนาทำให้เกิดการเห็นแจ้ง คือ วิปัสสนาภาวนาเกิดปัญญารู้เองเห็นเอง รู้เห็นเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติ คือ สันทิฎฐิโก รู้ได้เฉพาะตัวคือปัจจัตตัง ความรู้ที่ได้จากภาวนาจึงจะแก้ปัญหาชีวิตได้ถูกต้องตรงประเด็น

คำถามที่ว่าชีวิตคนเราเป้าหมายอยู่ที่ใด อันนี้ขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะของผู้ถามมากกว่า เอาเป็นว่าขณะนี้ผู้ถามยืนอยู่ ณ. จุดไหน มุมไหนของชีวิต คำตอบเบื้องต้นก็คงเพียงแค่ให้ออกจากมุมมองอันมืดอันนั้นมาสู่ความสว่าง โล่งแจ้งให้ได้ก่อน ซึมซับบรรยากาศแห่งความสว่าง สะอาด สงบก่อน มีพละกำลังแล้วค่อยเดินทางต่อสู่เป้าหมายภายหลัง ฝึกสติสมาธิมีกำลังแล้วมันจะรู้เองเห็นเองหรอก

เด็กอนุบาลเป้าหมายคือประถม ขณะเดียวกันเด็กประถมเป้าหมายคือมัธยม และเด็กมัธยมเป้าหมายคืออุดมศึกษา คือ รู้ทั่ว รู้หมด รู้ทุกอย่าง ทุกวิชา ทุกแขนง นั่นเอง เช่นเดียวกันเป้าหมายชีวิตก็คือรู้จักชีวิตทุกกระบวนการ เกิด-ดับ ตั้งแต่ธรรมดาสามัญจนกระทั่งถึงปรมัตต์รู้แจ้งแทงตลอดเป็น โลกวิทู รู้แจ้งชีวิตนี้ทั้งหมด เป็นสัพพัญญู รู้แจ้งธรรมธาตุทั้งปวง สิ้นสงสัยในเรื่องราวของชีวิตอีกต่อไป

๓๑๒.

ถาม

1. รู้สึกว่าตัวเองกะพริบตาไม่หยุด (รู้สึกชัดมาก) เป็นเวลานานติดต่อกัน ประมาณเกือบชั่วโมง ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรก หลังจากนั้น ก็หายไปกลับเป็นปกติเหมือนเดิม ตอนนี้อาการนี้ไม่เห็นอีกแล้วค่ะ

คำถาม ... อาการนี้ คืออะไรคะ ??

ตอบ

สติตื่นตัวระลึกรู้ บวกกับมีปิติหน่อยๆ

ถาม

2. วันหนึ่ง หลังจากเดินจงกรม สร้างจังหวะเสร็จ ขณะที่นอนอยู่นิ่งๆ หนูเห็นความคิดตัวเองไหลมา ไม่ขาดสาย จบเรื่องที่หนึ่ง ไปเรื่องที่สอง สาม สี่ ห้า ... เหมือนเรานั่งมองตู้รถไฟ ที่วิ่งผ่านหน้าไปเรื่อยๆ แต่ละตู้ นั่นคือความคิดหนึ่งเรื่อง จนตกใจว่า ทำไมจิตเราถึงได้คิดอะไรมากมายขนาดนั้น ไม่เหนื่อยบ้างเลยหรือ ?? ตอนนี้อาการนี้ไม่เห็นอีกแล้วค่ะ

คำถาม ... อาการที่เห็น คืออะไรคะ ??

ตอบ

สติตั้งมั่นไม่ไหลเข้าไปในความคิด คือการแยกสติออกจากความคิดเป็น

ถาม

3. ณ. ปัจจุบัน หนูมีความรู้ความคิดเกิดขึ้นแบบแปลกๆ มากมายหลายเรื่อง บางเรื่องไม่เคยรู้ก็รู้ ไม่เคยคิดก็คิด ไม่เคยเข้าใจก็เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่น เรื่อง ข้าวปลาอาหาร-พืชผัก-น้ำดื่ม ที่เรารับประทาน มาจากไหน มีความสกปรกน่ารังเกียจอย่างไร เรื่องการทำทาน, เรื่องศีล, เรื่องอาชีพต่างๆ, การกระทำต่างๆ ผิด-ถูก ดี-ชั่วอย่างไรบ้าง ... ฯลฯ ... (นึกได้ไม่หมดค่ะ) ความคิดที่ออกมา จะมีความละเอียด ซอกแซก กว้างไกล ลึกซึ้งกว่าที่เคยคิด จนแปลกใจว่าคิดได้อย่างไร ?

คำถาม ... ความคิดเหล่านี้ เกิดมาจากไหนคะ ?? ความรู้ที่เกิด เชื่อได้ไหมคะ ??

ตอบ

เกิดจากจิตตั้งมั่นและเห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ควรระลึกรู้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ปล่อยให้สังขารมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดดับ รู้เท่านี้ก็พอ

ถาม

4. ณ. ปัจจุบัน เวลามีอะไรมากระทบ หรือมองเห็นอะไร จะมองเห็นเป็นความทุกข์ และความไม่เที่ยงไปหมด ยกตัวอย่างเช่น... เมื่อก่อน เวลาเห็นเด็กตัวเล็กๆ ก็คิดแค่ว่า น่ารักจัง น่ามอง น่าอุ้ม แต่ตอนนี้มองเห็นเด็กเหล่านั้น คือ ทุกข์กองใหญ่ของพ่อแม่ เด็กเหล่านั้นจะต้องไปเผชิญกับทุกข์และความไม่เที่ยงต่างๆ นานา มีความน่ากลัวในวัฏฏะสงสารที่รอเขาอยู่ (รู้สึกน่ากลัว และ น่าเป็นทุกข์ มากกว่าน่ายินดี ) และตอนนี้ สิ่งที่คิดวิตกทุกวันที่ตื่นขึ้นมา คือ ทุกชีวิตกำลังบ่ายหน้าไปสู่ ความเจ็บ ความแก่ และ ความตาย มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความทุกข์ กับความไม่เที่ยง ทำให้รู้สึกหดหู่มากเลยค่ะ และรู้ว่า ถ้าไม่อยากเจอสิ่งเหล่านี้ มีทางเดียวเท่านั้น คือ ต้องไม่กลับมาเกิดอีก บางทีใจก็ดิ้นอยากออกจากกองทุกข์ และเกิดความกลัวว่า ตัวเองจะไม่พ้นทุกข์ในชาตินี้ เป้าหมายในการปฏิบัติของหนู คือ " ต้องไม่กลับมาเกิดอีก " เพราะหนูเห็นแล้วว่า การเกิดเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด

คำถาม ... ความคิดเหล่านี้ เกิดจากอะไรคะ ?? ในระหว่างที่มีความคิด หนูควรต้องระมัดระวังอะไรบ้างคะ ??

ตอบ

เกิดจากความเห็นสัมมาทิฎฐิ ระวังอย่าเข้าไปในความคิด ต้องรู้ตัวต่อเนื่องให้มากกว่า

ถาม

5. ณ. ปัจจุบัน หนูรู้สึกว่า ตัวเองลืมง่ายมาก เช่น คุยกับคนอื่นเรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วก็ลืมไปเลยว่า คุยว่าอะไรบ้าง บางทีพูดจบปุ๊บ ก็ลืมปั๊บเลยค่ะ แต่ถ้าเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นเอง หนูจะไม่ลืมค่ะ

คำถาม ... สภาวะนี้ เกิดจากอะไรคะ ??

ตอบ

อย่าใส่ใจในความคิด ความรู้ ใส่ใจในสติให้มาก สภาว คือ ซ็อคสัญญาณเดิม ปฎิบัติการล้างสัญญาเก่า

สุดท้าย อย่าเอาความขี้เกียจเป็นนาย อย่าให้ความสบายเป็นมาร

๓๑๑.

ถาม

เมื่อเจริญสติด้วยการกำหนดรู้ที่มือที่เราเคลื่อนไหวจะรู้สึกจนเห็นว่าเรากำลังจับได้ว่ามือเราข้างไหนกำลังทำอะไรอยู่นั้นเรียกได้ไหมว่าเรามีสติ

ตอบ

ได้

ถาม

เมื่อเป็นหลักข้อแรก แล้วทำไมร่างกายมันสั่น และหลุดออกจากตรงนั้นเร็วมาก

ตอบ

ปิติ ตื่นเต้น...มันเป็นอารมณ์เกิดได้ ดับได้ มีได้ หายได้ ช้าเร็วขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย

ไม่มีความคิดเห็น: