13 ธันวาคม 2555

qa 11-20

๒๐.

ถาม

กราบนมัสการพระอาจารย์มหาสุริยาที่เคารพอย่างสูง
กระผมเป็นภิกษุในวัดหนองแวง พระอารามหลวง จ.ขอนแก่น เคยได้รับฟังเรื่องราวข่าวสารจากเพื่อนภิกษุด้วยกัน เกี่ยวกับพระอาจารย์และวัดโสมพนัสมามากแล้ว แม้ว่าเคยตั้งใจว่าจะไปร่วมงานประจำปีแต่ก็ไม่มีโอกาส เพราะมีภาระทั้งทางวัดและทางโรงเรียนอยู่มาก เป็นภาระที่ต้องคอยดูแลผู้อื่นเอาใจใส่ และประคับประคองชีวิตเขาให้เป็นไปตามเส้นทางของสังคมที่เรียกว่า "ประสบความสำเร็จ" แต่เมื่อในเวลาที่ให้กับผู้อื่นมากๆ แล้ว ตนเองกลับจนตรอก แม้เพียงปัญหาเล็กน้อยก็ทุลักทุเลในการตัดสินใจ และจัดการกับมัน บางครั้งถึงกับอยากจะหนีไปไกลๆ อยากอยู่เงียบๆให้เวลากับตนเองบ้างคงจะเป็นรางวัลให้กับชีวิตของกระผมได้ไม่มากก็น้อย

สำหรับจดหมายฉบับนี้คงเป็นฉบับแรกที่กระผมตัดสินใจอยู่นานที่จะส่งมาถึงพระอาจารย์ และเมื่อได้ระบายอะไรออกไปบ้างก็รู้สึกดีขึ้น ก่อนที่จะจบการสนทนา ( ผู้เดียว ) กระผมขอความเมตตาจากพระอาจารย์ ได้โปรดแนะนำเส้นทางความสุข แห่งการปฏิบัติหน้าที่ และความสงบของจิตใจด้วยครับและหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พระอาจารย์จะเมตตากระผมนะครับ

ด้วยความเคารพ

พระหลงทาง นรินฺโท ว.น.ว.

ตอบ

อนุโมทนากับพระหลงทาง นรินโท ว.น.ว. ในการทำหน้าที่เป็นหลักพักพิงให้โลก, เรื่องของโลกๆก็เป็นเช่นนี้แหละไม่เที่ยง ไม่เป็นไปอย่างที่ใจหวัง แม้ความสำเร็จที่คิดว่าได้ สุดท้ายก็กลายเป็นอนัตตา... การปลีกตัวออกวิเวก ทิ้งสมมุติ หลุดไปสู่ความเป็นตัวของตัวเอง หาเวลาให้กับการฝึกจิตที่ติดยึด แสวงหาปัญญาเพื่อมาล้างใจ ออกเดินทางตามรอยบาทพระศาสดาสู่ทางสะอาดสว่างสะอาดสงบเถอะ... หากได้ปัญญาวุฒิพกพาสู่สนามรบแล้ว ไฉนเลยเราจะกลายเป็นคู่ต่อสู้อย่างผู้จนตรอก เพราะแม้ไม่ชนะซะตอนนั้นเราก็มีตรอกซอกซอย (กุศลธรรม) มากมายที่จะหลบหลีกหลอกล่อต่อกรกับกิเลสได้อย่างสมศักดิ์ศรี แต่นั่นต้องเพราะเรามีดีกรีศิษย์ตถาคต เป็นผู้ก้าวย่างตามรอยธรรมพระศาสดาอย่างเคร่งครัดถูกต้อง... แต่หากเราทำการรบอยู่ในอาณาจักรดินแดนของมารคือสนามสมมุติแล้วยากนักที่จักรบชนะในถิ่นของกิเลส ลาลงเวทีในฐานะผู้แพ้เพื่อตั้งหลักใหม่ดีกว่ายอมตายบนสังเวียนวัฏฏะ. ( 20 – 29 เมษายน 2551 อบรมพระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาส, รองเจ้าอาวาส จากสุรินทร์ประมาณ 20 รูป หากพระหลงทางมาร่วมได้คงจะดี )

๑๙.

ถาม

หนูมีคำถามจากการปฏิบัติค่ะซึ่งหนูไม่สามารถถามได้เมื่ออยู่วัด เนื่องจากมากันหลายคนไม่อยากให้ใครทราบ ขณะเดินจงกรมมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น เป็นตอนที่หนูแต่งงานใหม่ๆและอยู่ร่วมบ้านกับแม่สามี และหนูก็แพ้ท้องด้วยหนูกินข้าวกับน้ำตาทุกวัน เป็นความทุกข์มากและสิ่งที่เค้าร้ายๆก็ผุดขึ้นมาเหมือนดูละคร หนูเดินจงกรมไปก็ร้องไห้ไป หันไปดูคนข้างๆกลัวเขาจะรู้ว่าหนูร้องไห้ หนูทำดีกับเค้าทุกอย่างแต่ก็ยังไม่ถูกใจ ไม่สบายก็ดูแล แต่คนอื่นไม่เคยดูแลกลับว่าเขาดี แถมยังจะให้ลูกชายเค้าเลิกกับหนูอีก แต่ความคิดหนูตอนนั้นคิดว่าหนูคงเปลี่ยนแปลงเค้าไม่ได้ หนูทำดีที่สุดได้แค่นั้น พอใกล้หมดเวลาหนูยืนหันไปมองตนไม้ หนูมองเห็นต้นไม้เหมือนกับใครมาลอกตาหนูออกอีกชั้นหนึ่ง ต้นไม้ดูชัดเจนมาก ใบไม้ต้นไม้ชัดเจนมากๆ และที่สำคัญหลังจากนั้นความรู้สึกโกรธและเกลียดในตัวแม่สามีไม่ทราบหายไปไหน หนูพยายามนึกก็นึกไม่ออกไม่ทราบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

ตอบ

อนุโมทนาในสภาวธรรมที่ปรากฏ.. ได้ปัญญาดับความพยาบาทอาฆาตไงหล่ะ, กำหนดรู้ดูถูก ทำเป็นย่อมเห็นธรรม, ปฏิบัติถึงเมื่อใด แผลใจก็หายได้เมื่อนั้น ความทุกข์ที่มีแม้จะถูกปกปิดไว้นานสักเท่าไหน อยู่ลึกปานใด แสงสว่างไฟแห่งปัญญาก็ตามหาเจอได้เสมอ...เจริญสติต่อไปเถอะเดินมาถูกทางนานแล้ว.

๑๘.

ถาม

กระผมสงสัยว่าการที่หลวงปู่หลวงตาเป็นพระอรหันต์ตามที่ฟังมา อัฐิท่านจะเป็นพระธาตุ คำว่าหลวงพ่อเทียนไม่มีทุกข์นี้ กระผมเข้าใจว่าท่านต้องเป็นพระอรหันต์แน่นอนครับ แล้วไม่ทราบว่าอัฐิท่านได้เป็นพระธาตุเหมือนสายวัดป่าไหมครับ

ตอบ

เมื่อวันครั้งที่เผาศพหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ นั้นมีคนน้อยนิด เฉพาะแต่ศิษย์ชิดใกล้ที่ได้ร่วมงาน อัฐิท่านถูกทิ้งลงแม่น้ำเลยไปหมดแล้ว ไม่ค่อยมีศิษย์ท่านใดสนใจกระดูกนั้น เพราะถึงแม้เป็นแก้วใสๆแต่ก็คงไม่ใช่ในความหมายที่เป็นรัตนะ ความแปลกพิกลนั้นก็ช่วยได้เพียงเพื่อเกิดศรัทธา, แต่นี้บุคคลเหล่านั้นไม่มีความสงสัยในตัวรูปกายท่าน แต่สนใจคำสอนชี้สั่ง แม้พวกศิษย์รุ่นหลังๆก็ไม่ใคร่เห็นใครท่านผู้ใดกล่าวถึงเลย หลวงพ่อเทียนท่านไม่ใช่ผู้วิเศษแต่ท่านเป็นผู้พิเศษจริงๆ

ในช่วงวันงานนั้นมีผู้ว่าฯท่านหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อ ได้นำรูปปั้นรูปเหมือนของหลวงพ่อเทียน เป้าหมายคงเป็นเครื่องระลึกนึกถึงมาแจกจ่าย แต่สิ่งที่พบเห็นได้ ณ เวลานั้นคือ ภาพของคนที่นำรูปเหมือนไปโยนลงแม่น้ำเลยกันหมด คงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นกระมัง, สมัยนั้นคงต่างจากสมัยนี้ จิตคนกลุ่มนั้น คงไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องมีสิ่งนี้เป็นแน่ (แต่หากยังต้องการเห็นให้ไปดูที่วัดโมกขวนารามขอนแก่น มีเจดีย์เล็กๆบรรจุอัฐิท่านที่นั้น) อยากรู้ความเป็นอรหันต์ ให้ดูความหมายในบทพุทธคุณ 9 ( เริ่มตั้งแต่ อิติปิโส เป็นต้นไป คุณลักษณะของพุทธอรหันต์ จะไม่มีคำระบุไว้เลยว่ากระดูกเป็นแก้ว, ดูคำสอน ดูจริยาวัตร ดูการปฏิบัติสมณะกิจ ดูการใช้ชีวิต ณ ปัจจุบัน ดูการปฏิบัติต่อธาตุขันธ์ที่ไร้อุปทาน... ดูไว้เพียงเพื่อเป็นอุบาย เป็นสะพานพาดผ่านเข้ามาสู่ใจตนเท่านั้น.

๑๗.

ถาม

มีปัญหาอีกแล้วค่ะ รู้สึกเหมือนไม่มีตัวค่ะ คือเดินจงกรมก็แค่รู้สึกมันไหวๆ เท้ากระทบพื้นรู้แค่กระทบ แต่ไม่รู้สึกเหมือนมีร่างกาย ไอ้ที่ชัดมันเหมือนอยู่ในหัว คอยรับรู้การเคลื่อนไหวต่างๆ พอร่างกายรู้สึกไม่ชัด อะไรที่อยู่ในหัว มันเลยหาอะไรที่เคลื่อนไหวดู ทื่ชอบดูคืออารมณ์กับความคิด และพบว่าทั้งอารมณ์และความคิดมันอยู่คนละที่ แล้วทั้งสองตัวนี้มันเปลี่ยนแทบจะทุกนาที แทบเป็นวินาที อยากเลิกดูก็เลิกไม่ได้ มันดูเอง พยายามขยับนิ้ว ขยับมือ แบบทำสมาธิ ก็เอาไม่อยู่ อ่านหนังสือ ก็เห็นการไหลนี้ตลอดเวลา ทุกข์แล้วค่ะ ทุกข์เพราะกลัวและสงสัย ว่าเราเอาความฟุ้งซ่านเป็นอารมณ์กรรมฐานอยู่หรือเปล่า ลืมบอกหลวงตาค่ะ ว่าอาการหนัก มองคน มองรถก็เห็นเป็นแค่ไอ้ไหวๆเคลื่อนที่

ตอบ

การเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการดู เรียกว่า “ธัมมานุปัสสนา”หรือ “จิตตานุปัสสนา” เป็นการพัฒนาจากการรู้กายสู่การรู้จิต ซึ่งเป็นอารมณ์ที่สองของนักปฏิบัติ สติถูกอัพเกรดขึ้นมาระดับหนึ่งแล้วจึงจะทำอันนี้ได้ จะเกิดขึ้นกับผู้ที่ชำนาญดูกาย (ไม่สงสัยเรื่องรูปธาตุ) เห็นกายในกายชัดแล้ว ผ่านอารมณ์รูปนามมาแล้ว สติเห็นอนิจจังในรูปนามชัดเจน ไม่หลงอารมณ์ ไม่สงสัย เมื่อสติตั้งมั่นอยู่กับกายได้ ก็ทำให้การเห็นจิตดูใจอยู่ในวิสัยที่เป็นไปเองโดยธรรมชาติ

มันเหมือนกับ คนเรียนหนังสือหรือผู้ที่จบโปรเจคหนึ่งๆแล้ว ก็ต้องเลื่อนชั้นหรือหาโปรเจคอื่นใหม่ๆมาทำ ไม่มีอะไรผิด เป็นธรรมดา ธรรมชาติ เป็นการกระทำที่ถูกธรรม หากสติมีมากแล้ว มีอะไรผ่านมาให้เรียนรู้ก็ดูมันไปเถอะ ดูอย่างผู้ดู อย่าพอใจหรือไม่พอใจ ไม่ต้องอยากได้หรือปฏิเสธ ดูสักแต่ว่าเป็นอาการ ... ความจริงทุกข์มันเกิดจากอุปาทานทางความคิดนั่นแหละ เข้าใกล้รากเหง้าของความทุกข์ก็ยิ่งจะได้เห็นธรรม...การเฝ้าดูที่ผ่านมาก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่ผิด จงขยันระลึกรู้เฝ้าดูต่อไป ให้ระวังวิปัสสนูไว้บ้าง อย่าเข้าไปสำคัญมั่นหมายในความรู้ อย่าห่างครูอาจารย์ ลองเฝ้าดูปรากฏกิริยาของสิ่งต่อไปนี้ดูซิ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม.

๑๖.

ถาม

มีข้อสงสัยจะเรียนถามหลวงตาค่ะ คือขณะที่กำลังปฏิบัติแล้วเห็นความคิดผ่านเข้ามา พอรู้มันก็แว๊บหายไปเหมือนกระพริบตา แต่ทำไมมันเห็นความคิดเยอะมากเลย เป็นเพราะสติเราอ่อนถึงมีความคิดเข้ามา หรือว่ามันมีความคิดมากอยู่แล้วบังเอิญเราไปเห็นเข้าคะ

ตอบ

ความสว่างมีก็จะเห็นทุกอย่างปรากฏ, น้ำลดตอก็ผุด.

๑๕.

ถาม

การปฏิบัติธรรมจำเป็นไหมว่าต้องรู้รูปนาม เห็นว่าเป็นธรรมเบื้องต้นที่ต้องผ่าน มีแบบปฏิบัติแล้วไม่รู้รูปนามมีไหมครับ

ตอบ

การรู้รูปนามด้วยสัมมาปัญญา คือรุ่งอรุณของวิปัสสนา, เป็นอาการรู้กายและจิตแบบปล่อยวาง ว่างจากความปรุงแต่งยึดถือ, คนที่จะหาจิตตัวเองหากเข้าระหัสโหมดนี้ไม่ได้ ไม่เกิดดวงตา"ธรรมจักษุ"เห็นกายเป็นกายแล้ว จะเอาพลังที่ไหนไปเห็นจิตในจิต...การศึกษาข้ามขั้นไม่ใช่ไม่ดี แต่ทำแล้วถูกดีนั้นมีน้อย. (โปรดศึกษาเพิ่มเติมเรื่องอารมณ์รูปนามจากหนังสือ "การรู้ธรรมแบบรู้แจ้ง" )

๑๔.

ถาม

กระผมปฏิบัติด้วยการดูจิต บางครั้งก็แบบอานาปานาสติ พอจิตแอบไปคิดก็รู้ รู้เฉยๆไม่เข้าแทรกแซง ดูลมไป ง่วงเกิดก็รู้ แล้วง่วงก็ดับ เหมือนมีช่องว่างเล็กๆขั้น แล้วก็มีความรู้สึกขัดเคืองเกิดขึ้นก็รู้แล้วดับ แล้วก็รู้สึกเย็นๆเกิดขึ้น แล้วดับ แล้วรู้สึกฟุ้งกระจายๆ เกิดแล้วดับ แล้วก็รู้สึกสบาย เกิดแล้วก็ดับ แล้วความรู้สึกทางเพศเกิด ดูลมไปสักพักแล้วก็ดับ แล้วนิ่งเฉยไม่คิดพร้อมหมดลมหายใจ สักพักก็ถอนออกมาเริ่มใหม่ดูแบบนี้เป็น วิปัสสนาได้ไหมครับหลวงพ่อ แล้วจิตฟุ้งซ่านเป็นจิตที่รวมของจิตทุกอย่าง กระผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่าครับ

ตอบ

ทำดีแล้ว จงขยันทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ทำให้ได้เป็นสากลในทุกๆอิริยาบถ ทุกๆกิจกรรมของชีวิต ทุกอย่างเกิดที่จิต หากสติรู้ไม่เท่าทัน ดับไม่ได้ก็จะกลายเกิดเป็นทุกข์ หากดับได้ก็สลายสู่ความว่างคืนสู่ธรรมชาติของจิตเดิม.

๑๓.

ถาม

เรียนถามปัญหาของการเริ่มปฏิบัติค่ะ การเริ่มปฏิบัติก็เริ่มกำหนดจิตทุกการเคลื่อนไหว พอกำหนดได้สักพักจะเริ่มมีอาการเวียนหัว กำหนดนานๆยิ่งทวีอาการเวียนหัว คลื่นไส้อยากจะเจียนอ่อนเพลียเหมือนกับไม่สบาย แต่พอเลิกกำหนดอาการต่างๆก็จะหายไปค่ะ เป็นตอนกำหนดจิตการเคลื่อนไหวต่างๆและการเดินจงกลม แต่ถ้าเป็นการนั่งสมาธิเฉยๆจะไม่มีอาการดังกล่าวค่ะ

ตอบ

เข้าใจว่าน่าจะเป็นการเพ่ง จ้อง มากเกินไป การดูความคิดหรือดูจิต สติต้องมีพละกำลังมากกว่า คือระลึกรู้อยู่กับปัจจุบันได้ชัดเจนแล้ว จึงตามรู้ ตามดูจิตอย่างต่อเนื่อง ลองเอาสติดูอาการกายเคลื่อนไหว70% แล้วดูใจ 30% ก็พอจะทำให้อาการทั้งหลายดีขึ้น หากยังไม่ดีขึ้น ก็ให้ดูหรือระลึกรู้อยู่กับฐานกายอย่างเดียวก็พอ ไม่ต้องกลัวว่าจะดับทุกข์ไม่ได้ อย่าด่วนรีบร้อนเลย ใจร้อนกิเลสเป็น ใจเย็นกิเลสตาย.

๑๒.

ถาม

ถ้าเราปฏิบัติธรรมโดยกำหนดสติไปเรื่อย ๆแล้วจะทำให้เราได้สติมากขึ้น ผลที่ได้จะทำให้จิตเราอยู่ในสภาวะที่ปกติได้ แล้วส่งผลต่อไปภายหน้าคืออะไรคือความไม่ทุกข์ ใจ เข้าใจอย่างนี้ถูกต้องไหมคะ

ตอบ

ความไม่ทุกข์นี้เป็นสุดยอดแห่งขุมกำลังใจทั้งหลาย เป็นคลังมหาสมบัติของชีวิตอย่างแท้จริง.

๑๑.

ถาม

ตอนนี้หนูรู้สึกยังไงก็ไม่ทราบค่ะ เป็นเบื่อๆในอะไรหลายๆอย่างที่กำลังเจออยู่ตอนนี้ บางครั้งหนูก็ไม่อยากเจอ ไม่อยากคุยกะใครเลย โลกที่อยู่ในตอนนี้มันช่างมีแต่ความวุ่นวาย ไม่สงบเหมือนกับตอนที่หนูอยู่ที่วัดเลยค่ะ หลวงตาคะ หนูก็พยายามทำตามที่หลวงตาบอกนะคะ พยายามเดินจงกรม สร้างจังหวะ แต่บางครั้งมันก็รู้สึกอ่อนแออย่างบอกไม่ถูก ปัญหาบางอย่างมันก็ช่างดูหนักหนาเหลือเกิน แต่หนูก็จะพยายามเข้มแข็งนะคะหลวงตาหนูจะพยายามนำคำสอนของหลวงตาทั้งหมดมาใช้ในชีวิตประจำวันนะคะ หนูจะต้องผ่านมันไปได้ด้วยดีใช่ไหมคะ

ตอบ

อาการของกายและใจล้วนเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น ไม่ได้มีอยู่จริง เบื่อโรคก็คือโรคเบื่อ กินยาสติให้ต่อเนื่อง ให้ตัวยาเข้าไปทำปฏิกิริยา ไหลเวียนในนิสัยสันดานจิตเสียได้ โรคก็จะหายไปเองเด้อ! สิบอกไห่!!!!!

ไม่มีความคิดเห็น: