13 ธันวาคม 2555

qa 181-190

๑๙๐.

ถาม

ประมาณ 4-5 วันที่ผ่านมา ได้เจริญสติการเคลื่อนไหว ขณะที่ปฏิบัติ ขณะที่พลิกมือ ตะแคงมือ เคลื่อนไหวทุกขณะ เหมือนมีพลังอะไรสักอย่าง ไม่ทราบว่ามาจากไหน มันดูดๆ ไม่ทราบว่าอาการแบบนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร หรือเป็นการตั้งใจมากเกินไป เป็นการเพ่ง อาการแบบนี้ หลวงตาช่วยชี้แนะ แนะนำว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร

ตอบ

ไม่ทราบก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปใส่ใจ..ทำใหม่ ทำในอิริยาบถที่สบายๆ ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ดูด้วยการรู้ตัวที่ตั้งมั่นเป็นอิสระ อย่าเข้าไปในอารมณ์ ดูจบมันดับไป ดูจนหายสงสัย อย่าดูด้วยความคิดความอยาก อย่างทำด้วยความกล้าจนเกินงาม อย่าทำด้วยความกลัวจนทำอะไรไม่ได้ความ.

๑๘๙.

ถาม

หลวงตามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องโทษประหารชีวิตในสังคมไทยว่าควรหรือไม่

ตอบ

คงต้องพิจารณาจากเหตุปัจจัยรอบด้านก่อน ด้วยเหตุนี้สังคมจึงมีการแต่งตั้งผู้พิพากษาทำหน้าที่ไงและก็ตัดสินไปตามหลักฐานประมวลความผิดที่มีบทบัญญัติระบุโทษไว้ ในนานาอารยะประเทศ เขางดกฎประหารชีวิตกันแล้ว ซึ่งอันนั้นก็ต้องดูบริบทรอบด้านของพื้นฐานจารีตประเพณีวัฒนธรรม ตลอดถึงระบบการศึกษา การบำบัดดูแลเยียวยารักษาผู้ต้องโทษที่จะคืนสู่สังคม ความมั่นใจในประสิทธิภาพระบบความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินผู้คนในสังคมส่วนรวม ฯลฯ

ณ ปัจจุบันอย่าว่าแต่สังคมไทยเลย แม้สังคมโลกก็ยังจำเป็นต้องมีเพราะการศึกษาที่เน้นให้คนเข้าถึงความจริงของชีวิต เห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ การศึกษาที่เจาะลึกถึงธรรมชาติของจิตใจอันเป็นต้นตอของปัญหา คือ โลภ โกรธ หลง ยังไม่ได้รับความสนใจอย่างจริงจังในระดับนโยบายของรัฐ หรือถึงกับเป็นของวาระประเทศหรือของการพัฒนามนุษยโลก ที่สำคัญนโยบายการพัฒนาของรัฐโดยทั่วไปที่เป็นอยู่ วิถีชีวิตจิตสำนึกที่ขาดการปลูกฝังสัมมาทิฏฐิหิริโอตตัปปะที่เพียงพอ ก่อให้เกิดสิ่งเร้า ทำให้จิตคนเกิดอกุศลรุนแรงขยายวงกว้างยิ่งๆ ขึ้น

ในสังคมพุทธ หากผู้ใดเป็นผู้ว่ายากสอนยาก ฝ่าฝืนพระธรรมวินัยกฎระเบียบสังคมสงฆ์ เขาก็ใช้มาตรการประหารชีวิตเช่นกัน คือทำให้ตายไปจากโลกของมรรคผล งดการแนะนำพร่ำสอนอธิศีลสิกขา อธิจิต อธิปัญญา ให้ตายไปจากสังคมอริยะ โดยการนาสนกรรม นิคหกรรม ปัพพาชนียกรรม เนรเทศ ไล่หนี ไล่ให้สิกขาลาเพศไปเสีย.... ออกจากสังคมพระคืนสู่สังคมฆราวาส ซึ่งก็ต้องอยู่ในกรอบกฎหมายของสังคมนั้นๆ ทั้งนี้เพื่อรักษาความเป็นปกติสุขของบุคคลสังคมรอบข้าง แต่ละแห่งก็จะมีบทบัญญัติหนักเบาด้วยเหตุปัจจัยที่แตกต่างกันไปอย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้น

สรุปง่ายๆ การบริหารมนุษย์ก็เหมือนกับการบริหารทรัพย์สินวัสดุทั่วๆไป หากสิ่งของใดไม่เป็นประโยชน์แต่กลับให้โทษ หากใช้กลไกของสังคมบริหารจัดการแล้วยังแก้ไขไม่ได้ก็จำเป็นต้องกำจัด.....

อันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่า มันมีมนุษย์ขยะบางจำพวกที่ไม่สามารถเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอีกได้ มิหนำซ้ำเป็นขยะติดเชื้ออีกต่างหาก...คุณหมอเนย์คิดจะทำอย่างไรกับมัน...แน่นอนสิ่งที่เราคิดง่ายทำง่ายก็คือ ฆ่า! ทำลาย! แต่มั่นใจหรือว่าได้ใช้เมตตาธรรมถึงที่สุดแล้ว ไม่มีปัจจัยใดๆ ที่จะรีไซเคิลขยะจิตวิญญาณดวงนี้ได้อีกหรือ ถ้าใช่ก็โอเค ถ้าไม่ใช่ก็เอวัง.

๑๘๘.

ถาม

ดิฉันเคยมาปฎิบัติธรรฒที่วัดโสมพนัสหลายครั้งคิดว่ามาถูกทางแล้ว แต่กำลังสติยังไม่เข้มแข็ง ออกนอกวัดไปดำรงชีวิตอยู่อย่างโลกๆก็เจอแรงกระทบหลายครั้งและหลายเรื่อง แต่ก็พยายามใช้วิชาความรู้ที่ได้จากวัดไปทดสอบจิตของตัวเอง ทันบ้างไม่ทันบ้างเป็นบางครั้ง เผลออยู่เป็นประจำ แต่ก็รู้สึกตัวได้เร็วขึ้น บางทีความคิดมาก็เห็นแวบๆแล้วมันก็ผ่านไป เพราะเราไม่ยุ่งกับมัน แต่จะมีบางเรื่องที่จิตโดนกระทบอย่างแรง จะตามไม่ทันความคิด เผลอให้มันแช่อยู่ตั้งนานสองนาน กว่าจะหลุดไปได้ ต้องสู้กับมันจนเหนื่อยคะ ทุกวันนี้ดิฉันใช้วิธีดูความเคลื่อนไหวของกาย และดูความเกิดดับของจิต คอยดูอาการที่เกิดขึ้นกับจิตของตัวเอง พยายามดูมันเฉยๆไม่ปรุงแต่งอะไรกับมัน จะมีบางครั้งที่เผลอปรุงไปบ้าง แต่ระยะเวลาการปรุงแต่งมันสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด บางที่มีความรู้สึกเหมือนก้อนกลมกำลังจะหล่นทับเรา แต่พอรู้สึกตัว ก้อนนั้นก็หลบหายไป บางครั้งเกิดอาการว้าวุ่นในจิต รู้สึกกระวนกระวาย พอมีอาการดังกล่าวเราก็ดูมันเฉย สักพักอาการดังกล่าวก็หายไป กลับเป็นความเย็นเข้ามาทันที จะเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆอยากถามหลวงตาว่าอาการที่ดิฉันเป็นมันคืออะไร และเดินมาถูกทางหรือไม่เจ้าคะ

ตอบ

ทำดีแล้ว ให้เพียรต่อไปเถิด นิมิตหมายการเห็นธรรมคือเกิดปัญญาเห็นว่าทุกสิ่งที่เกิดล้วนมีดับเป็นธรรมดา ฝึกตาในให้เห็นอนิจจลักษณะของธรรมนั้นๆ อย่างสม่ำเสมอหรือเป็นปกติภาวะ อกุศลใดยังละไม่ได้คลายไม่หลุด ก็ให้พยายามต่อไป อย่าท้อ แล้วก็อย่าชะล่าใจ อาการที่ปรากฏทุกอย่างล้วนยังอยู่ในเส้นทาง...ไม่มีอะไรๆๆ...ธรรมะแม้ไม่รู้จักชื่อ แต่ก็สัมผัสได้ด้วยใจ เอาเพียงผู้รู้กับธรรมารมณ์ผู้ถูกรู้ แค่นี้ก็พอ.

๑๘๗.

ถาม

จิตยึดติดชอบไปเกี่ยวไปข้องกับสิ่งที่เดินเข้ามาในชีวิตส่วนมาก จะเป็นบุคคล พอสนิทจิตชอบยึด ติดพอไม่ได้ดังใจก็เกิดอาการ จิตตกจิตห่อเหี่ยว หวาดระแวงไม่อยากคบกับใครกลัวใจตัวเองไม่อยากเจ็บเพราะเอาจิตตัวเองไปข้องแวะกับเขา จะแก้จริตอย่างไรถึงจะให้จิตเป็นปกติ มองทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา โดยที่ไม่ทุกข์กับมัน เมตตาลูกช้างด้วยเจ้าคะ

ตอบ

ก็ฝึกสตินี่ไง แก้ได้ทุกจริต แต่ต้องทำให้ถึงธรรมจึงจะวางได้.

๑๘๖.

ถาม

ดิฉันเป็นผู้หนึ่งที่ฝึกเรื่องการเจริญสติมาประมาณ 9 เดือน และก็พอเริ่มรู้สึกตัวบ้างแต่ขณะที่ปฏิบัติพยายามใส่เจ้าความรู้สึกตัวเข้าไปด้วยทุกครั้ง ไม่ว่าจะทำอะไร แต่บางครั้งก็ยังเผลอจนได้ แต่ก็ยังดีเมื่อเผลอไปยังกลับมารู้ได้ เมื่อเร็วๆนี้มีไปยืมหนังสือที่ห้องสมุดบ้านอารีย์ค่ะ มีอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของหลวงพ่อคำเทียนท่านพูดถึงคำว่า กายในกาย คืออะไรเจ้าคะอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ แล้วท่านก็พูดถึง คำว่ากายเนื้อ กายหยาบ สัมพันธ์หรือแตกต่างกับการเจริญสติอย่างไรคะ

ตอบ

ความหมายของคำว่า “กายในกาย”

อาการทุกอย่างที่ปรากฏในร่างกายนี้ ชื่อว่ากายในกาย การเห็นกายในกายด้วยปัญญาจึงจะละวางกายนี้ได้ จิตไม่หลงปรุงแต่งไปตามอาการ..... ในอารมณ์การเจริญสติแบบนี้จะนับจาก ได้เข้าถึงอารมณ์รูปนามเป็นต้นไป คือคนที่สามารถแยกตัวรู้ออกจากตัวคิดได้ จะเข้าใจคำๆ นี้

กายละเอียดบางครั้งเรียก “ธรรมกาย” นี่หมายถึงองค์ธรรมที่ปรากฏกับจิตของอริยบุคคล....การฝึกสติจนได้อารมณ์นั่นแหละคือเริ่มต้นการสัมผัสการละเอียด....รู้อยู่กับกายหยาบเสียก่อน ให้รู้กายในกายในอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อย จนเกิดปัญญาเห็นทุกขสัจจะของกายเนื้อหรือกายหยาบ แล้วจิตจะวางกาย เวทนา จิต แล้วธรรมารมณ์ที่ละเอียดหรือ “ธรรมกาย” ก็จะปรากฏ บางคนก็เรียก “กายใน”.

๑๘๕.

ถาม

หนูเริ่มฝึกการเจริญสติตามแนวหลวงพ่อเทียนมาได้ประมาณ 1 ปีกว่าแล้วค่ะ ในชีวิตประจำวันบ้าง และมีโอกาสได้ไปฝึกในรูปแบบครั้งละ 7 วันที่วัดป่าโสมพนัสมา 3 ครั้งแล้ว มีความรู้สึกตัวในชีวิตประจำวันดีขึ้นตามลำดับ แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจกำหนดรู้แต่บ่อยครั้งก็จะรู้สึกตัวเอง เวลาคิดก็จะไม่ไปไกลค่ะ จะรู้สึกตัวขึ้น แต่ตอนนี้หนูมีความรู้สึกใจมันสลดกับชีวิตที่เป็นอยู่ รู้สึกว่าการใช้ชีวิตอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ชีวิตในแบบที่ต้องการ หลายครั้งมีความรู้สึกว่าเสียดายเวลากับการใช้ชีวิตแบบนี้ (ชีวิตของหนูก็เหมือนคนทั่วไปค่ะคือทำงานประจำ ไม่มีอะไรโลดโผน) อยากไปใช้ชีวิตกับการปฏิบัติธรรมจนทำให้ถึงที่สุดทุกข์ หนูไม่แน่ใจว่ามันเป็นปัญญา หรือ ตัณหามาหลอก ทุกครั้งที่คิด รู้สึกตัว มันก็หาย แต่ใจมันจะยังรู้สึกสลด และความคิดแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมากค่ะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเค้ามาทำให้เป็นทุกข์อะไร หนูกราบเรียนถามหลวงตาว่าหนูจะมีวิธีตรวจสอบตัวเองอย่างไรว่าหนูต้องการไปปฏิบัติธรรมจริงๆหรือหนูกำลังถูกตัณหาหลอกอยู่ ขอความเมตตาจากหลวงตา

ตอบ

ความคิด ภาษาบาลีเรียกว่าสังกัปปะ ถ้าคิดดีคิดถูกตามธรรมเรียกว่า สัมมาสังกัปปะ แต่ถ้าคิดผิดคิดชั่วเรียก มิจฉาสังกัปปะ

ความคิดเห็นที่ถูกต้องเป็นธรรม จะนำออกเสียได้ซึ่งทุกข์ มีลักษณะที่พึงสังเกตได้อยู่ 3 ประการ ได้แก่

1. เนกขัมมสังกัปปะ คิดออกจากกาม ความใคร่ในอารมณ์ทั้งหลาย มีดีใจเสียใจ พอใจไม่พอใจ เป็นต้นอันเกิดจากผัสสะอายตนะ ตาหู –รูป รส กลิ่น เสียง เป็นต้น เพราะโดยสัจจะเนื้อแท้แล้ว สังขารทั้งหลายทั้งปวงล้วนมายา

2. อัพยาปาทสังกัปปะ คิดที่ไม่พยายามปองร้ายใครผู้ใดเป็นจิตประกอบด้วยกุศลเมตตา ไม่มีความเครียดแค้นฝังใจ

3. อวิหิงสาสังกัปปะ ความคิดชนิดที่ไม่นึกเบียดเบียนใครให้ได้รับทุกข์โทษ

อยากออกปฏิบัติธรรมจริงๆ คงเป็นข้อแรก คงเป็นเพราะเห็นทุกข์โทษของการอยู่กับวิถีชีวิตที่เดินไปด้วยความคิดอารมณ์แบบซ้ำซาก แต่ชีวิตจริงที่สัมผัสได้ในปัจจุบันขณะ กลับมีน้อย จึงเกิดนิพพิทาโหยหาสัจจะของชีวิต.

๑๘๔.

ถาม

เนื่องจากลูกมีคำถามที่คาใจมานานลูกเคยทำแท้งมา 2 ครั้ง (ด้วยความจำเป็น เนื่องจากแฟนมีภรรยาแล้ว)แต่ครั้งนี้ตั้งท้อง เราได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็มีภาวะแท้งคุกคาม ลูกรู้สึกผิดมาตลอด แล้วอารมณ์นี้มันก็คอยตามลูกอยู่ตลอด ลูกไม่สามารถตามอารมณ์ได้เลย โทษตัวเองอยู่ตลอด ลูกทราบว่าลูกทำบาปมหันต์ ทั้งที่รู้ทั้งรู้ ลูกจึงอยากขอหลักธรรมในการดำเนินชีวิตต่อไปว่าควรทำอย่างไรต้องขอรบกวนหลวงตาด้วยนะคะ

ตอบ

อันว่า “ กรรม” คือการกระทำ ทำดีเรียกว่า “ทำบุญ” ทำไม่ดีเรียกว่า “ ทำบาป” ทำอะไรด้วยใจว่างๆ ตามหน้าที่เรียกว่า “ทำงาน” การทำสิ่งใดแม้จะถูกผิด แต่ก็เกิดเป็นปมอุปทานในจิต คิดจนเป็นอารมณ์ ทับถมใจไม่ให้มีพื้นที่แห่ง “ ความว่าง” วกไปเวียนมา เวียนคิดผิดถูก รัก ชัง ชอบ เกลียด อาการเช่นนี้เรียนกว่า “กรรมเวร”

การกระทำใดที่ทำไปด้วยจิตหลง โลภ โกรธ อันเป็นผลของอวิชชา ก็เป็นธรรมดาที่ความรู้สึกนั้นต้องเวียนกลับมาทำให้คิดอีกเป็นวัฏจักร หรือ สังสารวัฏ นี่แหละ “โรคของสัตว์โลก” ผู้ไม่รู้แจ้งสัจธรรมชีวิตประมาทก็มีแต่จะเพลินหลงเดินเข้าไปในดินแดนแห่งมารโดยไม่รู้ตัว โดยมีเหยื่อล่อ คือ การได้สนองความอยากความเพลินชั่วขณะ แต่จะสะสมในจิตจนมากพอแล้วก่อเกิดเป็นปัญหาแล้วๆ เล่าๆ อยู่อย่างนี้ จิตที่เดินหลางนี้น่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมด จิตติดเชื้อควรที่ต้องฉีดวัดซีนสติปัญญา และพักผ่อนด้วยการระลึกรู้อยู่กับห้องกายานุปัสสนาสักระยะ พักฟื้นได้กำลังใจแล้วค่อยไปคิดต่อ

เฮ้อ....เรื่องของใจแท้ๆ เลยนะ ก็อย่าคิดมาก หาอะไรทำแล้วนำงานมาเป็นอารมณ์ก็ได้ จิตจะได้คลายตัวบ้าง....อดีตแท้งแล้วก็แท้งไป ปัจจุบันอยากมีใหม่ แต่เหตุปัจจัยมันไม่ให้ ก็ต้องปล่อยวางอีกเช่นกันนั่นแหละ อย่ามาแบก ทุกข์ทั้งหลายตั้งอยู่ได้เพราะเราปล่อยวางไม่เป็นเท่านั้น.......อย่าไปโทษตัวเองเลย จะเป็นทุกข์ซ้อนทุกข์ ตัวตนเราจะมีซะที่ไหน ให้เอาปัญญามาคิด มันก็แค่ความรู้สึก(บาป) อย่าพึ่งให้มัน “ปรุง” เป็นบาปซิเธอ ตัดมันออกไปก่อน ตัดไม่ขาดก็ให้รู้ดูเฉยๆ หากทำไม่ได้ หรือไม่ชำนาญก็ขยันหมั่นฝึกไปเรื่อยๆ จิตติดอารมณ์ทุกข์-สุข ต้องค่อยๆ มองหาทางออก ทางสว่างโล่งโปร่ง ว่างๆ จิตเฉยๆ ไม่ปรุงแต่ง ไม่สุข ไม่ทุกข์ มันมีอยู่ อย่าท้อสิโยม

กิเลสติดใจเหมือนความสกปรกติดในเสื้อผ้า มากน้อยอยู่ที่ความหลง สติระลึกรู้อยู่กับกายอย่าพึ่งสนใจจิต เฉยกับความคิด ตัดญาติกับความคิดแล้วผูกมิตรรู้อยู่กับกาย ทำจริงๆจังๆ สักอาทิตย์คราบสกปรกคงหลุดออกไปได้

หลายคนที่เขาต้องแท้งมากกว่าเรา เขายังวางได้ อย่าคิดมาก สู้อารมณ์ตรงๆ ด้วยสติ เฉยกับมันอย่าทำกรรมเพิ่ม หากยังไม่ได้ก็ต้องใช้คาถา หมั่นสวดมนต์ภาวนาบ้างก็ได้ ตั้งจิตแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้เขา รักษาศีล 8 บ้าง บางเทศกาลและช่วยสริมสร้างบารมีธรรม แล้วที่สำคัญหมั่นฝึกสติให้แหลมคม จนเกิดเป็นอารมณ์วิปัสสนาญาณ เพื่อจะได้ตัดเหตุของการปรุงแตงได้

ขยันระลึกรู้อยู่กับปัจจุบันให้ชำนาญเถอะ แล้วจะประจักษ์แจ้งแก่ใจว่า ทุกข์นี้จิ๊บๆ นัก.

๑๘๓.

ถาม

ทำอย่างไรถึงจะกำจัดความกำหนัดให้หมดไปได้ครับ สติเอาไม่อยู่สักที

ตอบ

น้ำเยี่ยวจักจั่น จะไปดับไฟบรรลัยกัลป์ได้ไง สติธรรมดา กับมหาสติ ไปเรียนรู้คำ 2 คำนี้ให้ดี.

๑๘๒.

ถาม

กำลังมีความทุกข์จากคนใกล้ชิดกำลังป่วยมาก ความคิดจะวนเวียนอยู่แต่ในเรื่องความเจ็บป่วยนี้ มีความวิตกกังวลจนรู้สึกแน่นเหมือนมีก้อนแข็งๆจุกที่หน้าอก บางครั้งรู้สึกตัวชาและใบหน้าชา เมื่อเกิดอาการดังกล่าวจะใช้วิธีดูจิต เห็นความคิดที่ผุดขึ้น เมื่อรู้ทันก็ดับไป เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวล าทำให้ความแน่นหน้าอกคลายลงได้เป็นช่วงๆอยากขอรับคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมที่ได้ผลในการคลายทุกข์ ไม่ทราบว่าวิธีที่ทำอยู่ถูกต้องหรือไม่และต้องฝึกปฏิบัติอย่างไรอีกบ้าง

ตอบ

ควรวางเสียเถิด เรื่องของเขากับเรามันคนละชีวิต อย่าเอาความคิดมาแบก ไม่ใช่เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข แต่เป็นเพียงเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายเท่านั้น...หากคิดจะยุ่งเรื่องของเขา ใจเราต้องวางได้ให้มากกว่านี้

มันถูกเป็นขณะๆ ไป มันขึ้นอยู่กับสติกับความคิดว่าในขณะนั้นๆ มันจะเหมาะสมกันหรือไม่ หากกิเลสหนา ตัณหามาก ความคิดความหลงมากกว่า ถึงจะดูได้ หรือดูถูกวิธี มันก็ไม่ดับ เพราะพลังไม่พอ อย่าเน้นที่ผล ควรเน้นธรรมด้วยการสร้างเหตุปัจจัย.

๑๘๑.

ถาม

การเกิดในชาติภพต่อไปมีจริงไหมพิสูจน์ได้อย่างไร

ตอบ

จริง, พิสูจน์ได้ด้วยการฝึกฌานจิตจนระลึกชาติได้ก็จะเห็นเอง หรือพิสูจน์ได้ด้วยการทดลองตายดูด้วยตนเอง.

ถาม

การปฏิบัติธรรมเพื่อพ้นทุกข์ในชาตินี้เท่านั้น ใช่หรือไม่

ตอบ

ในทุกๆชาติที่เกิด

ถาม

ถ้าเป็นไปอย่างข้อสอง บางคนที่เขาไม่ได้ทุกข์มาก ก็ใช้ความอดทน ก็น่าจะผ่านชาตินี้ได้ (หากมีชาติเดียว) เพราะเห็นบางคน เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรม เขาอาจจะทุกข์บ้าง แต่เขาก็มีความสุขมาก และอาศัยทำดีอย่างเดียว (ศีล)

ตอบ

คนพาลปัญญาทรามย่อมไม่อาจล่วงรู้ธรรมของสัตบุรุษได้เลย สุขทุกข์ที่เข้าใจเป็นไปด้วยอำนาจธรรมที่หยั่งถึง กิเลสตัณหาเหมือนฝ้าบังนัยน์ตาของสัตว์โลก ....ไม่ใช่ปฎิบัติธรรมเพื่อทุกข์คลายแล้วจะได้เสพสุข แต่นี้เป็นการทำให้เหนือสุข เหนือทุกข์ เพราะการเห็นแจ้ง.

ถาม

เคยอ่านกระทู้หนึ่ง คนเขียนบอกว่ามีคนถามว่า หากเกิดชาติภพหน้าแล้วจำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่คนเดิมแล้ว การปฏิบัติธรรมชาติภพนี้ทำเพื่ออะไร ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรครับ

ตอบ

ไม่มี..... เพียงเพื่อปฏิบัติไม่ให้หลงเป็นทุกข์.

ไม่มีความคิดเห็น: