13 ธันวาคม 2555

qa 201-210

๒๑๐.

ถาม

เราแผ่เมตตาให้กับคนอื่นเขาจะได้รับหรือไม่ ถ้าได้รับ เขาจะได้รับอย่างไรครับ ถ้าเราปฏิบัติธรรมลูกเมียหรือญาติพี่น้องเราจะได้รับบุญด้วยหรือไม่ครับ โดยที่เราไม่ได้แผ่เมตตาให้

ตอบ

ขบวนการการฝึกจิตตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด เน้นที่จิตของผู้ฝึกปฏิบัติเป็นหลัก เช่นเดียวกับการเดินทางสู่เป้าหมายจำเป็นต้องมีพลังแห่งการปล่อยวางในทุกเรื่องที่เข้ามากระทบจิต ปล่อยวางทุกเรื่องที่เกี่ยวพันกับจิตใจเรา ทั้งนี้เพื่อให้จิตมีกำลังกล้าแข็ง ไม่ติดขัด ชักช้า เสียเวลาอยู่กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง (อนิจจัง อนัตตา) เน้นให้จิตมีพลัง (สัทธาพละ วิริยะพละ สติพละ สมาธิพละ ปัญญาพละ) มุ่งตรงสู่ความวิมุตหลุดพ้นจากกิเลสตัณหาเครื่องร้อยรัดทั้งหลายทั้งปวงที่จะทำให้จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดแล้ว ๆ เล่า ๆ อยู่แบบนี้...

คำถามนี้หลวงตาให้ข้อคิดง่าย ๆ นะ ลองนั่งสมาธิแผ่เมตตาให้ภรรยา หรือลูกเต้าก็ได้ เสร็จแล้วสัก ๒-๓ ชั่วโมง หลังจากนั้นเราก็ไปถามเขาดูเอาเอง นั่นแหละคำตอบที่เป็นของจริงหล่ะ

ประโยชน์ของการฝึกจิตนั้นเกิดขึ้นได้ ๓ ลักษณะ คือ

ประโยชน์ตน (อัตตประโยชน์) ผู้ฝึกก็สุขกายสบายใจ ไม่ไหลไปอยู่กับความคิดปรุงแต่ง แผ่เมตตาครั้งใดก็สบายใจครั้งนั้น การปล่อยวางทำได้ดีเท่าไหร่ใจก็เบิกบานเท่านั้น จะเรียกการแผ่เมตตาว่าเป็นอุบายแห่งการปล่อยวางทุกข์ ละอารมณ์ก็ได้,

ประโยชน์ผู้อื่น (สัมปรายิกัตถะประโยชน์) ความสงบสันติสุขกายสบายใจ ย่อมเกิดขึ้นได้กับสังคมผู้แวดล้อม อันเป็นผลพลอยได้ตามหลักของเหตุปัจจัยโดยที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก,

และประโยชน์อย่างยิ่ง (ปรัตถประโยชน์) คือนิพพานอันเป็นการดับสนิทเพราะการดับสลายหายไปของตัณหาโดยไม่เหลือเชื้อแล้วนั่นเอง.

๒๐๙.

ถาม

การที่เราทำสมาธิหลายๆอย่าง บางวันพุทโธ บางวันก็ยุบหนอพองหนอ บางวันก็ทำอาการเคลื่อนไหว บางวันก็นั่งนิ่งๆดูกายของเรา การทำเช่นนี้ทำได้ไหมครับและทำถูกต้องไหมครับ คือผมเป็นคนที่ชอบทุกอย่างเพราะเคารพครูบาอาจารย์ทุกองค์ที่ได้เข้าไปรู้จัก ผมควรจะเลือกแบบไหนดี หลวงพ่อให้ความกระจ่างแก่ผมด้วยครับ

ตอบ

ทำได้...ทำทุกอย่างเหมือนแกงกลาโหมนี่แหละ เดี๋ยวมันก็อร่อยเอง... ในสติปัฏฐานสูตรเขาก็ยังระบุไว้ไงว่า ให้กำหนดรู้ในอาการของอวัยวะทั้ง ๓๒ ของร่างกาย ส่วนไหนก็ได้ หรือแม้แต่จะเป็นการระลึกรู้ที่ขึ้นต้นด้วยสมถกรรมฐาน ๔๐ บ้างก็ยังพอได้อีกนั่นแหละ อนุสสติ ๑๐, อสุภะ ๑๐, อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑, จตุธาตุ ๔ ฯลฯ ทำไปเถอะ ขอให้ทำจริงๆ เพราะที่สุดแล้วแม้เพียงธรรมสิ่งเดียว ประเด็นเดียว รู้อย่างเดียวก็ตรัสรู้ได้

สิ่งที่จะนำมาเป็นนิมิตกำหนดรู้นั้น ถ้าอยู่ในกรอบของสติปัฏฐาน ผลของมันก็ย่อมเป็นเรื่องของอริยสัจ เช่นรู้กาย ผลของมันก็เป็นเรื่องของเวทนา, ดูเวทนา ผลก็เป็นเรื่องของจิต, ดูจิต ผลของมันก็เป็นเรื่องของธรรมารมณ์, ดูธรรมารมณ์ ผลของมันก็เป็นเรื่องวิมุต... เราอยู่ตรงส่วนไหนของเหตุหรือผลก็ไปทำกันเองเถอะ สำคัญอย่างทิ้งตัวปรมัตถ์คือสติแบบมั่นคง ส่วนสิ่งที่เป็นอุปกรณ์ในการฝึกตัวรู้นั้นเป็นสมมติทั้งหมด สุดท้ายแล้วเมื่อเกิดปัญญา เห็นแจ้งมันก็จะกลายเป็นความว่างเปล่าทุกสิ่งไป.

๒๐๘.

ถาม

ปฏิบัติเองที่บ้านจากการศึกษาสื่อต่างๆ การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ตอนนี้ดูกายก็ยังเพ่งยังประคองและหลุดบ่อย หลุดนาน ปฏิบัติในรูปแบบทุกวันเช้า-เย็น สวดมนต์ทำวัตร พยายามทำสติให้เจริญแต่ก็ไม่เจริญ นั่งสมาธิดูท้องพองยุบ ดูลม และระหว่างวันก็พยายามมีสติดูกายดูใจ แต่พอไม่เพ่ง ก็เผลอ ในใจมีแต่ความอยากจะพ้นทุกข์ ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร การปฏิบัติจึงจะก้าวหน้ากว่านี้คะ

ตอบ

ความตั้งใจดีนิ ค่อยๆ ทำไปไม่ต้องรีบเร่ง ฝึกสติตามหลักสติปัฏฐาน 4 นั่นแหละ ความก้าวหน้าสังเกตได้จากความต่อเนื่องของอินทรีย์ห้า คือศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา และสุดท้ายลงที่อุเบกขาในธรรมทั้งหลาย โดยเฉพาะความนึกคิดปรุงแต่ง.

๒๐๗.

ถาม

ผมเคยมีเหตุการณ์แปลกๆเวลานั่งสมาธิภายในห้าถึงสิบนาทีในขณะเริ่มนั่ง เช่น ความรู้สึกว่าโลกหยุดนิ่ง ทุกอย่างหยุดนิ่ง ต่อมาเกิดอาการขนลุกไปทั่วร่างกายและเหมือนกับว่าจิตกำลังพาไปไหนชักแห่ง แต่ยังมิสติไม่สนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังเกิดอาการกลัวเพราะไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำและถอนออกจากสมาธิทุกครั้ง อาการที่เกิดขึ้นมันคืออะไรครับ และควรแก้ไขยังไง ขอหลวงตาช่วยแนะนำหน่อยครับ

ตอบ

นักปฏิบัติธรรมสมัครเล่นก็จะเป็นเช่นนี้เสมอๆ...เวลาฝึกจิตอย่าไปเน้นที่สมาธิ ให้เน้นที่ความรู้ตัว ถ้าสติน้อยศรัทธามาก สมาธิมีก็จะเป็นสมาธิแบบอุปาทาน พอสงบหน่อยใจที่สั่งสมอุปาทานมามันก็จะพาไหลไป คนทั้งหลายคิดว่าตัวเองมีสติรู้เท่าทัน แต่ก็ไม่สามารถที่จะเฉยกับมันได้จริง ๆ ยังมีอาการพอใจ ไม่พอใจ สงสัยอะไรต่าง ๆ อยู่ดีนั่นแหละ... คำว่ารู้สึกตัว มีสติ (สัมมาสติ) จริง ๆ เวลาปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปีติ หรือสมาธิ นิมิตอะไรต่างๆ ก็ตาม มันเกิดตรงไหนก็จะสลายไปตรงนั้น จะเหลือแต่ใจที่รู้ล้วนๆ โล่งๆ โปร่งๆ อันเป็นเส้นทางของมรรคโดยตรง.

๒๐๖.

ถาม

อาการของจิตที่กำลังจะถอนจากอุปาทานเป็นอย่างไรครับ

ตอบ

ในเบื้องต้นคือการทิ้งความคิดได้บ่อยๆ เรื่อยๆ นั่นแหละ ต่อมาก็คือการเห็นความคิดเกิดดับได้เองด้วยอำนาจสมาธิ จิตที่ตั้งมั่น สุดท้ายคือปรากฏการณ์เกิดญาณทัศนะ รู้แจ้งทำลายการเกิดขึ้นของความยึดติดแบบไม่เหลือซากในขณะนั้น ๆ ที่อุปาทานธรรมปรากฏ...สังเกตได้อีกอย่างก็คือการที่เราลด ละ เลิกสิ่งที่จิตชอบ ไม่ชอบ ยึดติดผูกพันได้แบบไม่อาลัยอาวรณ์ เรียกวิมุตหลุดพ้นนั่นเอง.

๒๐๕.

ถาม

จิตนี้มันแสนร้ายกาจมันปรุงมันแต่งเอาแทบแย่ หลวงตาสอนผมให้ดูมันๆ คิดก็รู้ๆ อย่างเดียว แล้วก็วาง แล้วมาอยู่กับกายอยู่กับปัจจุบันเมื่อคืนนี้จิตมันปรุงผมทำให้ผมแทบแย่ กว่าจะวางมันได้ก็เช้าพอดี หลวงตาครับทำอย่างไงครับพรุ่งนี้ต้องทำงานหรือต้องตอบคำถามมันเกี่ยวกับอนาคตครอบครัว แต่วันนี้คืนนี้ผมต้องเจอกับเจ้าจิตนี้แน่นอน มันต้องปรุงผมแน่ ผมก็ตามดูตามรู้มัน รู้สึกตัว ตื่นตัว รู้สึกใจตื่นใจ แล้วถ้าเอาไม่อยู่ ขอให้องค์หลวงตาโปรดสั่งสอนและชี้แนะ

ตอบ

เอาอยู่ละมั้งป่านนี้ นานแล้วนี่... ปรุงก็เป็นเรื่องของมัน ช่างมันเถอะ เฉยกับความคิด เฉยกับความปรุง มันก็ไม่มายุ่งอะไรกับใจเราหรอก... แขวนหลวงพ่อเฉยนี่แหละเอาไว้ในใจ อย่านิมนต์ท่านออกไปเชียวนะ ตราบใดที่ท่านอยู่กับเรา อย่างแนบแน่นมั่นคง เกจิรุ่นไหนก็สู้หลวงพ่อเฉยไม่ได้.

๒๐๔.

ถาม

สามีไม่ดีจะบอกเลิกกับสามีอย่างไร

ตอบ

อยากเลิกจริงหรือ ถามใจตัวเองให้มั่นใจจริง ๆ ก่อนเถอะ เรื่องเลิกนี่มันไม่ยากอะไรหรอก สวมรองเท้าแล้วก็เดินจากไปเลย หรือไม่ก็บอกตรง ๆ แบบใช้มธุรสวาจาหรือคูถภาษาก็ได้ อันนี้มันขึ้นอยู่กับอารมณ์ บอกด้วยการกระทำหรือคำพูดก็ได้.

๒๐๓.

ถาม

รู้สึกแย่ที่ไม่สามารถปล่อยวางอารมณ์ได้ แต่มีตัวรู้ตามธรรมชาติอยู่นะค่ะ เวลาอยู่วัดพอจะปล่อยวางได้ แต่พออยู่นอกวัดดิฉันไม่สามารถเอาชนะมันได้ เมื่อวันก่อนดิฉันทานข้าวเสร็จแล้วก็นอนไม่ได้ภาวนา รู้ตัวนะค่ะว่าเราแพ้มัน แต่ก็ยอมแค่วันเดียวคงไม่เป็นไรหรอก ระหว่างที่นอนดิฉันได้เห็นพระจากนั้นเหมือนจิตดิฉันได้ออกจากร่างเพราะระหว่างที่ลุกออกจากเตียงนอนลงมานั่งพนมมือสนทนาธรรมกับพระ ดิฉันได้มองเห็นร่างตนเองนอนอยู่บนที่นอน พระท่านมาเตือนให้ดิฉันลุกขึ้นมาปฏิบัติธรรมอย่าขี้เกียจ แล้วพระท่านก็ถามดิฉันเหมือนโดนท่านทดสอบอารมณ์ด้วยค่ะ.จากนั้นก็ตื่นเลย

แล้วก็มีหลายครั้งที่ดิฉันได้ฝันเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตชาติและอนาคตของตนเองบางครั้งจนต้องร้องไห้เพราะไม่สามารถฝืนความฝันได้ เส้นทางชีวิตเหมือนโดนลิขิตไว้แล้วและในชีวิตจริงก็ได้พบเจอสิ่งแปลกๆที่เกิดขึ้นกับตนเอง ตัวรู้บอกว่าความฝันความจริงคือโลกสมมติทางนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น แต่ทำไม่ดิฉันยังวางอารมณ์จากโลกสมมติไม่ได้คะ

ตอบ

ยังไม่มีปัญญาแบบวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น มีแต่ปัญญาความคิดความเห็น ยังไม่ใช่ความเห็นแจ้ง...อยู่วัดก็เพราะฝึกสติพยายามปล่อยวางอยู่ตลอดไงแต่พออยู่ในชีวิตจริงเรากลับไม่พยายามฝึกฝนจนให้มันมีมาตรฐานของการปล่อยวาง มันก็จึงเป็นเช่นนี้แหละ.

๒๐๒.

ถาม

หนูเองเป็นลูกศิษย์หลวงตามานานคิดว่าตัวเองมีศรัทธาและความพยายามที่จะเจริญสติให้ต่อเนื่องและพยายามรู้สึกตัวในทุกๆอิริยาบทให้มาก ถ้าลืมก็ดึงกลับมาใหม่ ก็จะเห็นความคิดมันเริ่มก่อตัว เห็นว่าตัวเองลึกๆติดเรื่องอะไร ก็จะเห็นมันมาจ่อๆ แล้วก็ไม่เข้าไปค่ะ ก็กลับมารู้สึกตัว เรื่องบางเรื่องที่เคยมีหายไป แต่บางเรื่องยังเข้ามาใหม่ เช่น พยาบาท ไม่ชอบบางคน ชอบติดการเปรียบเทียบกับคนอื่น มันก็จะออกมา แต่เราเห็นมันเริ่มมาและไม่เข้าไป อาศัยเรียนรู้ธรรมจากสิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ก็น่าอัศจรรย์มากค่ะ ซึ่งเมื่อก่อนหนูไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้หนูไม่เป็นคนขี้อารมณ์เสีย ไม่ขี้วิจารณ์คนอื่น ทำให้ไม่เก็บทุกข์ในใจ ถึงมีก็ไม่นาน ก็วางค่ะ หนูก็มารู้อีกว่าลึกๆแล้วจิตตัวเองชอบลงต่ำไปสู่ความขี้เกียจ หดหู่ ซึมๆ เบื่อๆ แต่ก็พยายามทวน งัดมันขึ้นมาจากการรู้สึกตัวและคำสอนของหลวงตา

1. ด้วยความที่เมื่อก่อนเป็นคนชอบหลับและหลับง่าย ปัญหาหลักๆ คือง่วงด้วยค่ะโดยเฉพาะตอนขับรถต่างจังหวัดง่วงทุกครั้งเลย แก้ไม่หาย ฟังซีดีหลวงตาแล้วก็พยายามระลึกกรู้ แต่แล้วมันก็ดิ่งง่วง ก็ตบๆ ตัวเอง ตีตัวเอง ยังเอาไม่ค่อยอยู่เลยค่ะส่วนใหญ่ต้องจอดเข้าปั๊มทำโน่นนี่ทุกที คือถ้าเป็นสร้างจังหวะ เดินจงกรม หนูก็จะแก้ได้เอาจนมันหลุดง่วง แต่ขับรถสู้ไม่ค่อยได้เลยค่ะ หลวงตาช่วยกรุณาแนะนำด้วยนะคะหนูทราบว่าสติไม่แข็งแรงพอแต่เมื่อยังต้องสู้ เราจะสู้กับมันอย่างไร ณ ขณะนั้นคะ พยายามเข้าไประลึกให้เห็นง่วงแต่ก็เอาไม่ออกเกือบทุกครั้งเลยค่ะ

ตอบ

ทำไปเถอะมวยบุกเขาเรียก “เจโตวิมุติ” มวยเชิงเขาเรียก “ปัญญาวิมุติ” แต่นักมวยในค่าย ส.ตถาคตต้องใช้แม่ไม้มวยธรรมทั้งสองรูปแบบคละเคล้ากันไปจึงสยบคู่ต่อสู้ได้ เลือกใช้ตามจังหวะ โอกาส ไหวพริบ ความจริงความรู้สึกทั้งหมดอยู่ในใจเราเอง หากรู้ว่าตัวเองหลับแล้วทำให้ตื่นเสียก็สิ้นเรื่อง เจริญอริยมรรคต่อไปได้เลย

ถาม

2. หนูเห็นว่าหนูมีอนุสัยกิเลสตัวใหญ่อีกตัว คือความกลัวค่ะโดยเฉพาะการกลัวตายในกรณีเดินทางด้วยเครื่องบิน โดยเฉพาะยามที่เครื่องบินเข้าเขตสภาพอากาศแปรปรวนก็ยิ่งกลัว พยายามรู้สึกตัวโดยการลูบนิ้วแรงๆมันก็เอาไม่ค่อยอยู่ค่ะ หัวใจมันตื่นเต้น บางทีก็เห็นความคิดจินตนาการเรื่องเครื่องบินตกออกมาก็รีบมารู้สึกตัว ถ้าพอทำได้ก็จะเห็นการเต้นของหัวใจว่าเต้นปกติ แต่บางทียังมีความกลัวอยู่ค่ะกลัวตายเพราะยังไม่ทันได้รู้แจ้งถึงฝั่งอะไรแบบนี้น่ะค่ะ หนูจึงทราบว่าสติหนูยังนำมาใช้ในยามคับขันไม่ได้ หนูมาทบทวนเรื่องราวตั้งแต่ตอนเด็กๆหนูสงสัยในชีวิตมาตลอด กลัวการพลัดพรากสูญเสีย ตกใจจนนอนไม่หลับ เมื่อก่อนไม่เคยเข้าใจเรื่องการเจริญสติ หนูมีแต่สงสัยและกลัวความว่างแบบนิพพานที่คิดไปเอง จนจิตร้องออกมาด้วยความกลัวหลายครั้งค่ะ แต่ก็ควบคุมเอาไว้และกลบเกลื่อนไปวันๆ พอมาเจริญสติเข้าใจมากขึ้น จนมาเจอสภาวะที่ชีวิตมันเป็นของเวิ้งว้างน่ากลัวอีกครั้งเลยไปติดอารมณ์กลัวชีวิตแบบสุดๆแต่หลวงตาได้กรุณามาช่วยแก้อารมณ์เลยเข้าใจว่านี่เป็นตัวหนักของหนูแน่ๆ หลวงตาคะ หนูจะต้องแก้ด้วยการเจริญสติมากๆตลอดๆใช่ไหมคะ จนกว่ามันจะแข็งแรงปกป้องได้ แต่ในระหว่างนี้เมื่ออยู่ในสภาะวะบนเครื่องบินอีก หนูก็ต้องสู้กับความรู้สึกตัวหนักๆอย่างนั้นไปตลอดจนกว่าจะดีขึ้นใช่ไหมคะกราบนมัสการหลวงตาโปรดให้ข้อแนะนำค่ะ

ตอบ

กิเลสตัวนี้รู้สึกว่ามันจะจัดอยู่ในจำพวกโมหานุสัยฝังรากลึกซึมซาบอยู่ในจิตมานานเอาการ จนเป็นภาวะที่ตามหลอกหลอนเรื่อยมา จนกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับใครบางคนไปแล้ว... หลวงตาพบเห็นอยู่บ่อยๆสำหรับอารมณ์ที่เป็นปมด้อยของใครแต่ละคน ซึ่งก็จะแตกต่างกันไป จุดเปลี่ยนก็คือเรื่องของปัญญาซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดช่วงเวลาใด อิริยาบถไหน แต่เหตุของมันแท้ๆคือสติไม่คมชัด ไม่รู้เท่าทันจิต ทันอารมณ์ และที่สำคัญสติยังไม่ลงรากรู้แจ้งลึกถึงตะกอนความรู้สึกเป็นทุกข์อันนั้น มันก็เลยยังลอยนวลอยู่... ลองๆหาเหตุผลมาคัดค้านเสี้ยมสอนจิตมันดูบ้างสิเผื่อมันยอมรับได้ เปลี่ยนได้... เอาน่า ขยันกำหนดรู้อีกนิดเดี๋ยวพิชิตมันได้หรอก... เฮ้อ!..เธอนี่ก็เหลือเกินเขามีแต่กลัวว่าไม่มีเงินขี่แต่เธอมีเงินขี่กลับกลัว... ช่วงที่มันยังกลัวเครื่องบิน ยังนั่งไม่ได้ ก็ให้นำปัจจัยค่าโดยสารมาให้หลวงตาใช้ไปพลางๆก่อนน่าจะดี.

๒๐๑.

ถาม

ดิฉันขอเล่ารายละเอียดการปฎิบัติธรรมย้อนหลังก่อน ตอนดิฉันอายุ 20 ปี ดิฉันฝันเห็นพระก็เลยไปบวชที่วัดป่ากุง ตอนนั้นเห็นความทุกข์ของสัตว์โลกจนร้องไห้อยู่ๆก็เห็นแสงสว่างเกิดขึ้นแว๊บเดียว จากนั้นก็เกิดอารมณ์มีความสุขใจ สบายกาย เย็นกาย เย็นใจ ชุ่มใจ อิ่มใจ เวลาเดินก็เหมือนกันค่ะ ตอนนั้นยังไม่รู้จักการเดินจงกรมด้วยคือมันเกิดขึ้นเองค่ะ ต่อมาเรียนอยู่ปี3ได้ไปฝึกงานที่สวนพนาวัตน์ สายธรรมกาย ก็ได้นั่งสมาธิดูกายตนเอง ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมัธยมอาจารย์ก็ให้ไปปฎิบัติธรรมบ้าง พอทำงานหัวหน้าก็ให้ไปปฎิบัติธรรมที่วัดหลวงตา ก็เห็นความคิด เห็นอารมณ์ เป็นต้น จนวันหนึ่งเกิดอาการเบากาย เบาใจ เป็นโล่งๆเหมือนไม่มีอะไร พอออกจากวัดมาเริ่มรู้สึกว่าตนเองเปลี่ยนไป อารมณ์โกรธไม่มีเป็นต้น วันหนึ่งดิฉันฝันเห็นพระ ท่านบอกว่าให้ไปปฎิบัติธรรมที่วัดอัมพวันทั้งที่ดิฉันไม่เคยรู้จักวัดนี้มาก่อนเลย แต่ก็ได้ไปสิ่งที่เกิดขึ้นจากการผ่านการปฎิบัติธรรมมาหลายที่แบบไม่ตั้งใจเกิดการรวมตัวขึ้นทำให้ดิฉันมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมแม้กระทั่งตอนนอน วันหนึ่งขณะที่ภาวนาอยู่ดิฉันรู้สึกว่าลมหายใจหมดไป หัวใจก็หยุดเต้น จนคิดว่าตนได้ตายแล้ว ตอนนั้นดิฉันได้ละความทุกข์ ความสุข ออกจากใจแล้ว เหลือแต่ความรู้สึกอย่างเดียว จนได้ยินเสียงพระสวดมนต์บทหนึ่งทุกอย่างก็เริ่มกลับมา ต่อมาพอสวดมนต์ทำวัตรเย็น ดิฉันรู้สึกมึนๆ วูบๆไปทั้งตัว ไม่รู้จะอธิบายยังไงค่ะหลวงตา เหมือนความรู้สึกตัวทั่วพร้อมชัดขึ้น คือมันไม่ปกติอีกแล้ว พอสวดมนต์เสร็จดิฉันก็รีบนั่งสมาธิเลยค่ะพอนั่งสมาธิก็มีอะไรผุดๆขึ้นมาเต็มไปหมดเลยค่ะดิฉันขอถามหลวงตาว่า

1.ทำไมอารมณ์แต่ละครั้งที่ได้ไม่เหมือนกันคะ

ตอบ

แล้วแต่เหตุปัจจัยของกิเลสตัณหาหรือสติปัญญาเข้มข้นจืดจางหรือเท่าเดิมผลก็จะเป็นไปตามนั้น

ถาม

2.อารมณ์ที่ได้ทำไมมันไม่เกิดขึ้นซ้ำอีกคะ

ตอบ

คำตอบเหมือนข้อ 1.

ถาม

3.ตอนที่ได้ยินเสียงพระสวดดิฉันได้ตายไหม เพราะดิฉันรู้สึกว่าหัวใจก็หยุดเต้น ลมหายใจก็หมด พอออกจากภาวนาได้ถามเพื่อนๆว่าได้ยินเสียงพระสวดไหม ไม่มีใครได้ยินมันคืออะไรคะ

ตอบ

ยังไม่ได้ตาย, สมาธิมากทำให้จิตเรานิ่ง, ไม่มีความคิดก็เลยไม่เห็นความเคลื่อนไหวของจิต เพราะกิเลสมันอาศัยความคิดมันจึงเคลื่อนไหวได้... อันนั้นคือนิมิตหรืออุปาทานที่มันผุดออกมา

ถาม

4.การได้เห็นแสง อารมณ์เบากายเบาใจ อารมณ์มึนๆวูบๆ มันคืออะไรคะ

ตอบ

คือโอภาส สว่างในใจ เป็นการเขี่ยหรือผลักดันกิเลสตัณหาที่ปิดบังจิตอยู่ ทำให้แสงสว่างแห่งปัญญาสาดส่องเข้ามาในจิต... คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเป็นแสงจากข้างนอก... เกิดปีติเลยเบากายเบาใจ พอเพ่งอยากได้อยากอยู่กับมันหรือหามันมากๆเข้าก็เลยมึนหัว ให้รู้เฉยๆ เน้นที่การรู้สภาวะไม่เน้นรักษาปีติ แต่เจริญตัวรู้ตัวเห็น ปล่อยวางได้ เฉยได้กับทุกการปรุงแต่ง

ถาม

5.ต่อไปต้องทำยังไงต่อคะสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้นหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้น

ตอบ

เจริญสติทำความรู้สึกตัว ดูเฉยๆ ระลึกเสมอว่าทุกอย่างเป็นมายา เกิดขึ้นเดี๋ยวก็สลายหายไป ถอนอุปาทานพอใจไม่พอใจในทุกอารมณ์ออกเสีย ให้เหลือแต่ธรรมชาติรู้ล้วนๆเท่านั้น.

ไม่มีความคิดเห็น: