13 ธันวาคม 2555

qa 41-50

๕๐.

ถาม

กระผมมีปัญหาอยากจะถามพระอาจารย์ว่าขณะฝึกเจริญสติแบบเคลื่อนไหวจะต้องบริกรรมคำว่ารู้สึกตัวไปกับการเคลื่อนไหวหรือไม่ การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวที่ถูกต้องควารปฏิบัติอย่างไร ขอกราบนมัสการรบกวนพระอาจารย์เพียงแค่นี้

ตอบ

บริกรรมก็ได้ ไม่บริกรรมก็ได้ แต่ควรจะไม่บริกรรม เพราะสติจะได้เฝ้ารู้ เฝ้าดู เฝ้าสังเกตอาการของไตรลักษณ์ในรูป ในนามได้ดีกว่า เร็วกว่า เกิดปัญญาได้ไว.

๔๙.

ถาม

หนูเพิ่งไปปฏิบัติธรรมที่วัดมาค่ะ แต่ไม่มีโอกาสได้สอบถามหลวงตา คือมีอยู่วันนึงตอนเช้าก่อนจะไปทำวัตร หนูเดินจงกรมเล่นๆรอน้องสาวอยู่หน้าห้องพัก หนูเดินผ่านบานเกล็ดก็ส่องมองหน้าตัวเองไปด้วย แต่มีอยู่จังหวะนึง หนูเดินแล้วหันไปส่องมองหน้าตัวเอง แล้วมันเหมือนสะดุดกึ๊ก แล้วก็มีประโยคนึงพูดขึ้นมาว่า “ไม่มีตัวเรา” แล้วหนูก็รู้สึกทันทีว่าความเป็นเราไม่มีน้ำหนักเลย เหมือนเราไม่ได้มีตัวมีตนอะไร มันสบายๆ หนูไม่รู้จะอธิบายยังไง หนูรู้สึกอย่างนี้ได้แค่วันเดียว พออีกวัน ก็รู้สึกถึงการมีตัวเรา รู้สึกว่าเป็นเรา กลับมาเหมือนเดิมค่ะ แล้วมีอีกวันนึง ตอนเย็นออกไปเดินจงกรมนอกวัด ก็เดินไปสักพัก หนูก็เหลือบไปมองน้องสาวที่เดินอยู่แถวหน้า แล้วมันก็เกิดสะดุดอีก เหมือนไฟฟ้าช๊อต แล้วความรู้สึกที่หนูมีต่อน้องก็เปลี่ยนไปทันที มันรู้สึกเหมือนว่าคนนี้ไม่ได้เป็นน้องเรา ไม่มีเยื่อใยผูกพัน ไม่มีความห่วงใยอะไรเลย รู้สึกเฉยๆ แต่พอเช้ามาอีกวัน ความรู้สึกนี้ก็หายไปค่ะ ก็กลับมารู้สึกว่าเค้าเป็นน้องเราเหมือนเดิม ขอเรียนถามว่าอาการทั้งสองอย่างนี้เรียกว่าอะไรและขอคำแนะนำจากหลวงตาเพิ่มเติมด้วยค่ะ

ตอบ

เกิดปีติ และเกิดความเข้าใจในการวางจิตเป็นกลางปล่อยวางได้ อุปาทานหายไปใจก็จะเป็นเช่นนั้นแหละ ทำความเพียรให้มาก แต่ไม่ต้องไปอยากรู้ ให้ดูเฉย ๆ อยู่กับสติ ดูกายเคลื่อนไหวดูใจนึกคิดไปเรื่อย ๆ แต่ตอนนี้ให้สังเกตอารมณ์มาก ๆ กว่าอาการกาย ระวังติดความรู้ ติดความสงบ ติดความคิดปรุงแต่งเรื่องธรรมะ, อยู่กับปัจจุบันรู้อย่างเดียว.

๔๘.

ถาม

อยากทราบว่าเราสามารถนำแนวทางการปฏิบัติการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวมาปรับใช้กับมารดาตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์รพ.ได้ไหมคะ เนื่องจากมีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่นทำแล้วได้ผลคือสามารถลดความวิตกกังวลขณะคลอด หรืออาจลดปวดได้ในเบื้องต้น แต่การนำมาใช้จำกัดที่ผู้สอนต้องรู้วิธีการปฏิบัติระดับไหนคะ หนูเคยฝึกปฏิบัติกับหลวงตาแต่ถึงแค่รู้ตื่น อารมณ์ในการปฏิบัติยังไม่ต่อเนื่อง แต่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของจิตที่ว่าง เบา สบายและเย็นขึ้นค่ะ

ตอบ

ใช้ได้, ก็ผู้สอนควรรู้เรื่องความรู้สึกตัวหรือสตินี้แหละ รู้ตัวการมีสติแล้ว เกิดการปล่อยวางมันให้ผลอย่างไร แต่การขยายผลสู่ผู้อื่นนั้นต้องอาศัยทั้งวิชชา และจรณะ, วิชชา คือมีความรู้ความเข้าใจสามารถอธิบายสื่อความหมายทำความเข้าใจ ทำเรื่องยาก ๆ ให้เป็นเรื่องง่าย เรื่องมากให้เป็นเรื่องน้อย, ส่วนจรณะ คือ การปฏิบัติตัวของเราต้องเป็นไปตามที่สอนที่พูด เพื่อให้เขาเกิดความศรัทธาต่อคำสอนนั้น โดยย่อก็คือพูดให้ฟัง และทำเป็นตัวอย่างได้ ... แต่หากจะให้ดีเขาควรรู้ก่อน ฝึกสติมาก่อนเผชิญการคลอดจะดีที่สุด เพราะการสอนเรื่องสติแนะนำการปล่อยวางต่อทุกข์ ก็เปรียบเหมือนการฝึกให้คนรู้จักอาวุธและใช้อาวุธต่อสู้กับกิเลส เราสอนขณะตัวมาถึงตัวนั้นมันออกจะยากสักหน่อย.

๔๗.

ถาม

ช่วงนี้เวลาภาวนามักเห็นจิตเค้าวนศึกษาอยู่กับตัวสังขารแล้วก็สัญญา อย่างเช่นเวลาเห็นจิตเค้าหลงไปคิดเรื่องต่างๆ ก็มักคิดต่อว่าสัญญา เค้าโผล่ขึ้นมาอีกแล้ว หลังจากนั้นมักจะเห็นตัวที่ไม่ชอบบ้างจิตเค้าเป็นกลางรู้เฉยๆบ้าง หรือบางทีเวลาที่ได้ยินเสียงอะไร ก็จะไม่เป็นแบบได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน แต่ว่าจะเห็นตัวสังขาร เค้าปรุงต่อ การที่จิตเค้าวนศึกษาอยู่อย่างนี้ถือว่าเป็นการฟุ้งซ่านมั้ยค่ะ ขอความกรุณาช่วยแนะนำด้วยค่ะ

ตอบ

ใช่, ให้รู้อยู่กับกาย แล้วแอบดูอาการเช่นนั้นไปเรื่อยๆ.

๔๖.

ถาม

กรรมเก่าคืออะไรคะ ขณะนี้สามีไปแต่งงานใหม่ (ทั้งที่ยังไม่ได้หย่ากับดิฉัน) ทิ้งหนี้สินให้จำนวนหนึ่งซึ่งเขาก็ไม่ได้มาช่วยใช้หนี้แต่อย่างใด ถ้าเราฟ้องศาลให้ผู้หญิงจ่ายค่าทดแทน และให้ผู้ชายจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตร มันจะบาปไหมคะ จะเป็นการสร้างกรรมขึ้นมาใหม่จริงหรือเปล่า เพราะรู้สึกว่าเขาสองคนจะไม่ค่อยพอใจถ้าพูดถึงเรื่องการร้องเรียนหรือการฟ้องร้องขึ้นมา หรือถ้าเราปล่อยเขาสองคนไป คิดซะว่าเป็นกรรมเก่าของเราชดใช้ให้หมดในชาตินี้จริงหรือเปล่าเจ้าคะ

ตอบ

กรรมเก่า หมายเอาการกระทำที่ผ่านมาแล้ว เรียกอีกอย่างว่าอดีตกรรม ..... จิตคือสภาพธรรมผู้เป็นตัวสั่งสมความรู้สึก (พอใจ-ไม่พอใจ) ในการกระทำกรรมแต่ละครั้ง (กายกรรม) พูดแต่ละที (วจีกรรม)คิดแต่ละขณะ (มโนกรรม) ผลของการกระทำกรรมนั้นจะสะสมห่อหุ้มจิตจนก่อกำเนิดกลายเป็นจริตนิสัย... การกระทำที่แสดงออกมาแต่ละครั้งจะเริ่มที่มโนกรรมเสมอ ถ้าดีก็เป็นบุญ ถ้าขุ่นก็เป็นบาป

บาป หมายถึง ทุกข์ เป็นอาการขุ่นมัวของจิตที่ถูกกิเลสกรรมเกาะยึดติด ทุกข์เมื่อใดก็แสดงว่าบาปตามสนองเมื่อนั้น อันที่จริงบาปนี้ก็ไม่มีจริงหรอกเป็นเพียงมายาหรืออนัตตา แต่หากยังไม่เกิดปัญญาก็หาอนัตตาสภาวะไม่พบ

บุญ หมายถึง ความไม่ทุกข์ พ้นทุกข์เมื่อใดเป็นมหากุศลหรือเป็นยอดบุญเมื่อนั้น

กรณีสามีหนีไปแต่งงานใหม่ อันนี้มองได้ 2 แง่มุม คือ

1.เขาทนเราไม่ได้

2.เขาทนมโนกรรมของตัวเองที่เรียกร้องไม่ได้

กรณีแรกให้พิจารณาเองเถิด แต่ในกรณีหลังนั้นเกิดจากพลังกรรมเก่าในใจเป็นตัวผลักดัน และสิ่งแวดล้อมภายนอกเป็นปัจจัยเสริม ถ้าผู้ใดไม่ได้ฝึกสติจนถึงขั้นสลายอารมณ์ได้ ก็จะต้องทนรับใช้กิเลส (กรรมเก่า) ทำกรรมใหม่อยู่แล้วๆ เล่าๆ กิเลส à กรรม à วิบาก จนเวียนอยู่เช่นนี้เรื่อยไป จนเป็นสังสารวัฎอย่างที่พระท่านว่า

เรื่องการฟ้องร้องตัดสินปัญหาทางโลกๆ ก็พยายามคิดให้รอบคอบ เพราะนั่นเป็นการแก้ทุกข์ที่ปลายเหตุ (ตามหลักอริยสัจ) ดีไม่ดี ถูกผิดอ่างไร ได้เสียคุ้มค่าหรือไม่ จงใช้วิจารณญาณเอาเองเถิด ควรไม่ควรแล้วแต่เหตุปัจจัย และสภาพธรรมในจิตว่าสามารถแบกรับปฏิกิริยาที่จะเป็นผล (กรรม) กระทบตามมาได้หรือไม่....เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าจะเอาเรื่องหรือปล่อยวาง ล้วนต้องใช้สติปัญญามองให้รอบคอบ “อย่ามุ่งเอาชนะด้วยอุปทาน. อย่าปล่อยวางแบบไร้สติ” เพราะถ้าสร้างเหตุปัจจัยผิด เข้าใจผิด คิดผิด ตัดสินใจผิด ลิขิตชีวิตก็จะเกิดแต่กรรมเรานั้น หาใช่ใครที่ไหนอื่น กรรม ณ ปัจจุบันนี้ จะกลายเป็นอดีตกรรมทำร้ายเราในอนาคต.

๔๕.

ถาม

หนูได้ไปฝึกเจริญสติที่วัดป่าโสมพนัสมาอยากถามหลวงตาว่า วันที่4ของการเดินช่วงเช้า เมื่อเราทำความรู้สึกให้อยู่กับเท้าตลอดเวลา มีจังหวะหนึ่งเกิดผุดขึ้นมาว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไร ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเหมือนแค่กองทุกข์กองหนึ่งจากนั้นก็น้ำตาไหลไม่ทราบเป็นอะไร

ตอบ

เข้าใจถูก คิดถูก ปฎิบัติถูก ปล่องวางไว้ใจว่าง ก็จึงเกิดปิติเช่นนั้นเองแหละ ลองทำแบบไม่ให้มีปิติ ให้มีแต่สติ และอุเบกขาลองดูซิ คือรู้เห็นเฉยๆ เฉยกับทุกข์ เฉยกับความรู้ เฉยกับปิติ นี่เป็นความละเอียดที่ละได้ยากยิ่งขึ้นตามลำดับ

ถาม

ส่วนช่วงบ่าย พอเดินได้จนเมื่อความรู้สึกมาอยู่กับเท้าชัดเจนเหมือนตอนเช้าก็รู้สึกถึงความชัดเจนมาตัวสติ(ที่เราให้มาอยู่ที่เท้ามันแยกจากความคิดในสมอง) จากนั้นระฆังก็ตีขึ้นเลยต้องหยุดอันนี้มันคืออะไรคะ

ตอบ

ความรู้สึกตัวมันชัด ผู้รู้ ผู้ดูอิสระเมื่อใดจิตใจที่นึกคิดปรุงแต่ง จะถูกแบ่งออกเป็น 2 สภาวะ เช่นนี้เสมอ คือ ตัวทุกข์กับผู้เห็นทุกข์ไงล่ะ

ถาม

ส่วนวันที่6เดินไปจนเกิดความรู้สึกตัวเหมือน2วันที่แล้วคือสติอยู่ที่เท้าตลอดเวลามันรู้สึกปวดขาขึ้นมาเลยไปรู้ที่ปวดจากนั้นก็มารู้ที่เท้าเหมือนเดิมก็เลยพบว่าความปวดมันเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ทราบว่าสภาวะเหล่านี้เป็นอะไรคะ

ตอบ

เห็นเวทนาเป็นของไม่เที่ยง เกิดดับได้เอง ไม่ควรไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัว เป็นตนของเรานะซิ.

๔๔.

ถาม

ตอนเช้าวันหนึ่ง ผมได้นั่งสมาธิกำหนดรู้ลมหายใจเฉยๆ จิตก็สงบเป็นปกติดี เมื่อนั่งพอสมควรแล้ว ผมได้เหยียดเท้าออก และนั่งลืมตาอยู่ ขณะนั้น จิตผมมีลักษณะที่ไม่เหมือนเดิมคือ จิตก็คือจิต ความรู้สึกความคิด บางอย่างที่เกิดขึ้นมันแยกออกไปอย่างชัดเจนเหมือนน้ำกับน้ำมัน แล้วก็เกิดความรู้ขึ้นมาที่จิตเองว่า รู้รูป รู้นาม ลักษณะอย่างนี้เกิดเพียงชั่วครู่เดียว เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่เกิดขึ้นแต่ผมจำสภาวะนั้นได้ไม่ลืม สิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร ผมควรจะปฏิบัติอย่างไรต่อ

ตอบ

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นแหละ มันเป็นอย่างที่มันเป็น อดีตแก้ไขไม่ได้ และมันก็ผ่านไปแล้ว อย่าให้ไปสมมุติใส่ชื่อมันเลยนะ เกรงจะเพิ่มอุปาทานเสียเปล่าๆ แต่ก็พอจะทำความเข้าใจได้ว่า สติมีการพัฒนาขึ้น ปัจจุบันธรรมชัดเจนขึ้น

ไม่หลงไปในอารมณ์ ออกจากความคิดได้ไว จิตนั้นก็ย่อมจะมองเห็นสิ่งที่ปรุงแต่งจิตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อย่าหลงไปกับอาการ หลงไปกับความดีใจ หลงไปกับความสงสัย

ต้นไม้หากแตกงอกออกรากได้แล้ว ลำต้น กิ่ง ก้านใบ ดอก ผล ย่อมตามมาเอง ได้โดยธรรมชาติ แต่อย่าลืมเหตุคือรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ย , ในเรื่องของจิตก็คือการภาวนา เฝ้าดู รู้อยู่กับปัจจุบันให้ต่อเนื่องนั่นแหละ

สิ่งที่ควรทำต่อไปก็คือทำอย่างเดิมนั่นแหละ แต่เพิ่มความต่อเนื่องให้มากๆ ทำจนถึงมรรคถึงผล คือเข้าสู่เส้นทางและเป้าหมายที่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินชีวิตของเราที่เป็นฝ่ายโลกุตตร

ตอนนี้เริ่มรู้แล้วว่าใจเป็นอย่างไร ใจที่ว่างจากความคิดเป็นอย่างไร แม้เพียงครู่เดียวก็สามารถทำลายความสงสัยที่มีในจิตของเราลงได้... เอ้า! ลองพิจารณาดูอาการของไตรลักษณ์ในรูปในนามดูซิ.

๔๓.

ถาม

ผมพิจารณาเห็นนิพพานดิบเป็นอนัตตาและเห็นนิพพานโลกีหรือนิพพานพรหมเป็นอนัตตาแต่ไม่พิจาณาเห็นโลกุตตรนิพพานเป็นอนัตตาผมต้องทำอย่างไร

ตอบ

ไม่รู้นะว่า คำว่า “นิพพานดิบ” ของคุณคืออะไร ... นิพพานโลกีย์หรือนิพพานพรหมเป็นอนัตตานั้นถูกแล้วนี่ สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา , จิตยังไม่แจ้งในนิพพานแท้ๆจะอาศัยเพียงสติน้อยๆพิจารณา ตรึกตามอาการเอาเอง คงถูกมายาจิตหลอกให้เข้าใจสภาวะอาการอย่างใดอย่างหนึ่งว่าเป็นนิพพาน... เพราะหากถึงขนาดว่าได้เห็นนิพพานดิบ นิพพานสุก อย่างนี้ คงถึงธรรมดาความสิ้นสงสัยเสียแล้วล่ะ

อันนี้เห็นทั้งนิพพานดิบและทั้งนิพพานพรหม ก็ยังสงสัยอยู่ เช่นนี้มันชักยังไงอยู่นะ ...ความจริง หากเข้าใจสภาวะโลกีย์ทั้งสองอย่างนั้นเป็นอนัตตาแล้ว ก็น่าจะเข้าใจนิพพานโลกุตตรได้ในทันที

นิพพานดิบของคุณ หมายถึงสภาวธรรมที่ปรากฏในจิตที่สัมผัสได้ตอนยังไม่ตายนี้หรือเปล่า หรือหมายถึงการได้สัมผัสโลกียรสแบบสุดๆหรือไร

อย่างไรก็ตามสิ่งที่คุณควรทำก็คือเจริญสติให้เกิดปัญญาชำระจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ จนรู้ได้ว่าไม่มีอะไรเหลือในจิตแล้วนู้นแหละ เชื้อแห่งความทุกข์ความยึดความอยากเหือดแห้ง ทุกข์ในจิตดับสนิท ไม่มีอาการโลภ โกรธ หลง ทั้งหยาบ กลาง ละเอียด มลายสิ้น นั่นเป็น “นิพพาน” ที่พระพุทธองค์ทรงสอน

ถาม

ผมปราถนาต้องการ นิพพานดิบ ในชาตินี้ ผมต้องทำอย่างไรบ้าง เพราะไม่รู้ว่านิพพานมีอาการแบบไหนและตั้งอยู่ที่ใด

ตอบ

ก่อนอื่นต้องแสวงหากัลยาณมิตร ผู้รู้ที่เราศรัทธาช่วยชี้แนะให้เราสามารถเห็นตัวตน อัตตา มานะ ทิฏฐิ ของเราเสียก่อน หากละทิ้งนิสัย สันดานเดิมนี้ได้หมดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปหานิพพานที่ไหน...หาใจที่ไม่มีทุกข์เจอได้ก็พอแล้ว ก็มันไม่ทุกข์แล้วจะไปหานิพพานทำไม

ถาม

ถ้าผมจะหาอาจารย์สอนคลองแห่งนิพพานผมต้องทำอย่างไรเพราะ ตัวก็ไม่รู้ว่านิพพานเป็นอย่างไร ไฉนจะรู้ว่าอาจารย์ผู้สอนจะรู้หรือไม่

ตอบ

เอาสติที่เฝ้าระลึกรู้ ดูกาย ดูจิต ได้นั่นแหละ เป็นอาจารย์ หาได้ในตัวเราทุกๆคน อาจารย์ภายนอกคือผู้ที่ชี้ทางเท่านั้น ส่วนสติสัมปชัญญะเป็นครูอาจารย์ที่แท้จริง ... สิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะไม่เห็นเช่นเดียวกับเรา คนตาบอดจะไม่รู้ว่าตัวเองตาบอดและจะไม่มองเห็นผู้อื่นที่ตาดี แต่ความจริงคนตาดีก็มีอยู่ , คนตาดีจะรู้เห็นว่าตัวเองตาดีทั้งยังเห็นคนอื่นที่ตาบอด , ตาบอดตาดีในที่นี้คือมิจฉาทิฏฐิและสัมมาทิฏฐิ หากออกจากมิจฉาทิฏฐิของตนเองได้แล้ว อาจารย์จะปรากฏในจิตเอง

รู้ว่าไม่รู้ นั่นแหละ อาจารย์มาปรากฏในจิตแล้วน้อยๆ พยายามให้เขาทำหน้าที่ให้มากๆให้รู้เยอะๆ รุ้ให้ต่อเนื่อง รู้ให้ลึกๆเข้าไปอีกว่าเราไม่รู้อะไรบ้าง

รู้จนครบจบถ้วน ไม่มีอะไรที่ไม่ถูกรู้...อยู่เหนือการรู้จนถึงขั้นไม่มีอะไรจำเป็นที่ต้องรู้อีกต่อไป จนเกิดปัญญาญาณหยั่งรู้ว่าการรู้ได้สิ้นสุดลงตรงนั้นแล้ว สภาวธรรมใส่จุดฟูลสตอป จะปรากฏขึ้นเอง,รู้ไม่รู้มันก็มีก็เป็นของมันอยู่แค่นั้น...คำตอบที่แน่ชัดหาอ่านได้ในจิตตน.

๔๒.

ถาม

ลูกมีเรื่องสงสัย และอยากปรึกษาหลวงตา เกี่ยวกับเรื่อง "ดวงชะตา" และ "การดูดวง" เพื่อนของลูกได้ชวนลูกไปดูดวงกับคุณยายท่านหนึ่งเพราะต้องการรู้ว่าดวงของตนเองในปีนี้ ดวงจะดี หรือดวงจะไม่ดี และจะสอบบรรจุได้หรือไม่ เพราะเหตุนี้เลยทำให้ลูกสงสัย อีกทั้งประหลาดใจ และเกิดความรู้สึกว่าเราจะเชื่อคุณยายได้กี่เปอร์เซ็นต์เพราะบางเรื่องที่คุณยายทักถูกราวกับตาเห็น บางเรื่องคุณยายก็ทักไม่ถูก บางเรื่องทักมาก็เล่นเอาหนูไม่สบายใจ แต่ที่สำคัญคุณยายบอกว่าดวงของหนูปีนี้จะสอบบรรจุได้แต่จะคลาดเคลื่อนและมีอุปสรรคนิดหน่อยคือสอบได้แล้ว แต่เขาไม่เรียก คุณยายเลยแนะนำให้หนูไปกราบขอพรจากหลวงพ่อองค์แสนและหลวงพ่อพระใสแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
แต่ลูกเชื่อว่า "ถ้าลูกไม่อ่านหนังสือ ลูกคงสอบไม่ได้อย่างแน่นอน" และลูกเชื่ออีกว่า "ดวงชะตาชีวิตของเราจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำของตัวเราเอง" จริงไหมเจ้าคะ?

ตอบ

จริง

ถาม

แต่ที่ลูกสงสัยที่เขาบอกว่า คนเราเกิดมาพร้อมดวงชะตาฟ้าลิขิต เราไม่อาจฝืนโชคชะตาและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริงเหรอเจ้าคะ?

ตอบ

ไม่จริง

ถาม

และดวงชะตาของเราจะผกผัน และเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงอายุของเราเองใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา?

ตอบ

ไม่ใช่, เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของธรรมและอธรรมที่สั่งสมอยู่ในจิตเป็นตัวบงการการกระทำ ร่างกายสังขารตัวตนเป็นเพียงเครื่องมือของจิตเท่านั้น

ถาม

หลวงตาช่วยอธิบายให้ลูกเข้าใจ และหายสงสัยทีเจ้าค่ะ และสุดท้ายลูกกราบขอพรจากหลวงตาเพื่อลูกจะได้มีกำลังใจในการสอบบรรจุครั้งนี้เจ้าค่ะ

ตอบ

ขยันเข้าไว้ ทำอะไรให้มีสตินำหน้า ศึกษาลู่ทาง วางกรอบชีวิต พยายามคิดแต่ในทางบวก อย่าผนวกเอาเรื่องของคนอื่นมาใส่ใจตน อดทนต่อเรื่องที่ยากๆ หากทำได้จะสบายทั้งชาตินะ.

๔๑.

ถาม

เมื่อนั่งดูจิต จะเห็นจิตซึ่งยังนิ่งอยู่ สักพักความคิดจะเริ่มเกิดขึ้น จะเห็นความคิดนั้นไม่ได้มาจากจิต แต่จะเห็นความคิดมาจากสมอง แล้วจิตก็เข้าไปรับรู้ในความคิดนั้น บางครั้งก็หลงไปกับความคิดแล้วก่อให้เกิดความสุข และทุกข์ตามเรื่องที่คิด เมื่อดูบ่อยๆ จะเห็นว่า ถ้าเผลอความคิดจะไหลออกมาแล้วก็เลือกไม่ได้ กำหนดไม่ได้ จึงไม่ให้ความสำคัญกับความคิดที่จะมาปรุงแต่งจิตให้เกิดสุขและทุกข์ เพราะความคิดก็เป็นแค่การปรุงแต่งของอดีตหรืออนาคตเท่านั้น และขณะนี้ก็ไม่มีอยู่จริงด้วย ทำให้จิตเบาสบายขึ้น ที่สำคัญคือ มีสติรู้ทันความคิดที่เริ่มจะเกิดเท่านั้น ปฏิบัติได้เช่นนี้เป็นการถูกทางหรือไม่ เพราะยังดูไม่เห็นว่าจิตเป็นผู้คิดเลย

ตอบ

ถูก ฝึกสติผู้รู้ให้เป็นเองโดยไม่ให้มีเราเป็นผู้รู้แล้วจะสัมผัสสภาวธรรมได้บริสุทธิ์ ลึกซึ้งกว่านี้.

ไม่มีความคิดเห็น: