13 ธันวาคม 2555

qa 61-70

๗๐.

ถาม

ทำอย่างไรดีคะ เวลาดิฉันนั่งสมาธิ จิตไม่ว่างเลย คิดไปตลอด นั่งสวดมนต์หน้าโต๊ะหมู่บูชาในห้องพระที่บ้านทุกวัน ช่วงทำวัตรเย็นค่ะ

ตอบ

ความจริงจิตว่าง จะเกิดจากการรู้เท่าทันกิเลสตัณหา หรือเกิดปัญญาดับความคิดปรุงแต่งได้ระดับหนึ่งแล้ว,แต่คนทั้งหลายส่วนมากที่มีประสบการณ์ในการฝึกจิตมาน้อยมักจะมีความเข้าใจว่า
1. การทำสมาธิคือการทำให้จิตนิ่ง
2. ทำให้จิตนิ่งเพื่อให้เป็นสมาธิ
3. ทำให้จิตเป็นสมาธิเพื่อไปทำลายกิเลส
ดังนั้น คนทั้งหลายจึงพยายามทำสมาธิตามความเข้าใจเดิมๆของตนเอง ซึ่งแค่ความเข้าใจเบื้องต้นเช่นนี้ มันก็เป็นการวางใจไว้ผิดแล้ว นั่นหมายถึงผลก็ย่อมจะผิดตามมาด้วย...

ส่วนเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนาเป็นการฝึกเจริญสติระลึกรู้หรือตามเฝ้าดูปรากฏการณ์ของรูป ของนามที่มันมีอยู่แล้ว เรียนรู้เขาอย่างคนเข้าใจ ไม่ใช่ไปกดขี่บังคับตัดทอนผ่อนผันกดดันอะไรทำนองนั้น การระลึกรู้เช่นนี้ทำเพื่อให้เกิดปัญญา เห็นแจ้งตามความเป็นจริงตามหลักแห่งอริยสัจ ส่งผลนำสู่การปล่อยวางอย่างแท้จริง เช่น

1. ทุกข์ ปัญหาของเราในขณะนั้นๆคืออะไร? เช่น จิตไม่ว่าง จิตปรุงแต่ง ที่เป็นเช่นนั้นมันมาจากสาเหตุอะไร? ความคิด ความปรุงแต่ง มีผลดี ผลเสียกับชีวิตเรายังไง? อาการเกิดขึ้นของสังขารความคิด มันทำงานได้อย่างไร? ที่มันปรากฏเกิดขึ้นแล้ว ตั้งอยู่ในจิตเราได้นาน ๆ เป็นเพราะเหตุใด? เราสามารถดับมันได้อย่างไร? ต้องเฝ้าดู เฝ้าเห็นอาการของทุกข์ที่เป็นนั้นให้ชัด...ไม่ต้องกลบเกลื่อนหรือหลีกเลี่ยงไปทำกิจอย่างอื่น ต้องทนฝืนเฝ้าดูอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะเกิดความรู้ ความเข้าใจในระดับที่เรียกว่าเป็นญาณปัญญา คือเกิดการปล่อยวางได้พร้อมกับการรู้เห็นธรรมชาติของจิตเช่นนั้น ธรรมชาติของสังขารสมมติมันไม่ทนต่อการพิสูจน์เฝ้าดูด้วยไฟสติตบะ ที่มีความเพียรพยายามสูงๆได้หรอก ธรรมชาติของไตรลักษณ์จะปรากฏขึ้นในสังขารนั้นทันที...นี่เป็นกฎของสัจธรรม คนไหนทำถูกคนนั้นก็รู้, คนรู้ทุกข์แล้วไม่ปล่อยวางทุกข์จะเป็นไปได้อย่างไร แต่ที่คนปฏิบัติธรรมทำสมาธิแล้วจิตก็เคยนิ่งแล้วแต่พอหยุดทำหรือออกจากการปฏิบัติ กิเลสตัณหา เจ้ากรรมนายเวร ก็ยังยืนเรียงแถวเข้าคิวจองกรรม จองเวร จ้องล้าง จองผลาญเราอยู่เช่นเดิม... เราหรือนั่งสมาธิได้นึกว่าวิ่งห่างไกลกิเลสได้หลายร้อยลี้แล้ว ที่ไหนได้ก็เพียงแค่จิตเราหลบเข้าไปอยู่ในสมาธิ หรือถูกบริวารนิวรณ์ ความง่วงเหงาหาวนอนหลอกหลอน เอาไปเชยชมซะจนเราน่วมไปทั้งตัว เราก็ยังไม่รู้... ที่เราทำวิปัสสนากันแล้วไม่ก้าวหน้าส่วนมากจะเป็นปัญหานี้กันทั้งนั้น

การทำวัตรสวดมนต์ ก็ทำให้จิตสงบได้บ้างเป็นครั้งคราว แต่คุณภาพของสมาธิจิตไม่เพียงพอต่อการหยั่งรู้สัจธรรมในจิต เผลอๆ กลายเป็นสมาธิแบบสมถะ แปลงเป็นวิปัสสนาไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่าลืมว่า... ผู้ปฏิบัติธรรมจะเกิดวิปัสสนาญาณได้ ก็ต่อเมื่อการมีสติรู้อยู่กับฐานทั้งสอง คือกายกับจิตเท่านั้น

2. สมุทัย คือหากเมื่อรู้ทุกข์ได้ ก็จะรู้จักเหตุเกิดทุกข์ ในที่นี้หมายเอาสภาวธรรมหรืออาการที่ปรากฏ เกิดจากความคิดความอยากของจิต ความพอใจไม่พอใจ ความหงุดหงิดงุ่นง่าน ฟุ้งซ่าน ไม่โปร่ง ล้วนเกิดแต่ไม่ปล่อยไม่ปลง ไม่ระลึกรู้ ไม่ดู ไม่เห็นแจ้งเท่านั้น

3. นิโรธ หมายถึง ความแจ่มแจ้งของจิตที่สัมผัสได้ด้วยสติปัญญาที่พัฒนาถึงขั้นเป็นอริยมรรคเข้าทำลายอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ที่เกาะเกี่ยวผูกพันอยู่ในจิตได้แล้วระดับหนึ่ง

4. มรรค หมายถึง ภาวะที่ต้องเจริญสติ เฝ้ารู้กาย รู้จิตอยู่อย่างสม่ำเสมอนั่นเอง... รู้นะไม่ใช่ไปทำอะไรกับจิตเขานะ รู้เฉยๆ ทำให้ต่อเนื่อง นานๆ จนกว่าภาวะของนิโรธจะปรากฏ

กิจกรรมต่างๆทางศาสนพิธี สำหรับผู้ที่กำลังเดินทาง หากจะไม่ให้มีเสียเลยทีเดียวก็คงจะเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าจะได้สัมผัสกับพุทธภาวะที่แท้จริง ที่ปรากฏออกมาจากจิตเดิมแท้ของเราเองโน่นแหละ มันจึงจะปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นได้... ทำไปเถอะหากไม่รกรุงรังกับจิต หากมันเป็นฐาน เป็นเหตุปัจจัย เป็นบันไดก้าวข้ามความคิดความเครียดได้ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีที่งามเช่นกัน.

๖๙.

ถาม

ผมกำลังจะบวชครับ รู้จักธรรม ทำให้ดับทุกข์ได้ สักวันหนึ่งผมคงได้ไปกราบหลวงตา ขอให้หลวงตามีสุขภาพแข็งแรง เจริญในธรรม สวัสดีครับ

ตอบ

การบวชคือการประกาศทำศึกสงครามกับกิเลสเต็มรูปแบบ เป็นการประกาศความพร้อมความสุขงอมของศรัทธาและสติปัญญาวุธที่ตนมี... เมื่อเข้าสู่สนามรบแล้วจงอย่าประมาท ขอให้ได้ชัยในการทำศึกในครั้งนี้เถิดเพราะชีวิตจะชั่วจะดีขึ้นอยู่กับศึกศักดิ์ศรีของธรรมะกับกิเลสนี่แหละ การได้โอกาสดีอย่าให้เสียไปฟรีๆโดยไม่มีมรรคผลเสียล่ะ.

๖๘.

ถาม

หนูอยากเล่าให้หลวงตาฟังจังเลยค่ะว่าลูกศิษย์ของหลวงตาคนนี้ได้นำคำสั่งสอนของหลวงตาทั้งหมดมาใช้ในชีวิตประจำวันแล้วมันเห็นอานิสงส์อย่างไรบ้าง หนูรู้แต่มันมากมายจนไม่รู้จะเล่ายังไงดี

บางครั้งทั้งที่เรารู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ ทั้งๆที่คิดว่ามีสติ แต่บางครั้งมันก็ห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้อ่ะค่ะ บางครั้งเพราะความรู้สึกผูกพัน ห่วงใย และหวังดี (ซึ่งหลวงตาก็เคยบอกว่ามันคือกิเลส) แต่เราเองก็อดที่จะเป็นห่วงหลายๆคนที่เราหวังดีกับเค้าไม่ได้ บางครั้งเราก็จะมาทุกข์เพราะเค้าไม่ยอมเห็นถึงความหวังดีของเรา หนูควรทำยังไงดีคะหลวงตา ถ้าตอนนี้เลือกได้หนูอยากไปหาหลวงตาที่วัดมากเลยค่ะ เพราะเวลาหนูอยู่ที่นั่น เหมือนอยู่อีกโลกนึงที่มีแต่ความสงบ ไม่มีเรื่องให้วุ่นวาย (เอาไว้ถ้าสอบเสร็จ เดือนหน้าจะรีบหาเวลาไปให้ได้เลยค่ะ)

ตอบ

เจริญสติปัญญาปล่อยวางให้เยอะ แล้วจะรู้ว่าความว่างที่ได้มาจากการวาง คือการแก้ปัญหาที่แท้จริง...ไม่มีน้อง ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีสมบัติอันใด ฯลฯ มีแต่ธรรมธาตุ.

๖๗.

ถาม

ได้ชื้อหนังสือธรรมมะมาอ่าน พออ่านก็ได้รู้ว่าเป็นหนังสือส.มหาปัญโญภิกขุ อ่านแล้วเข้าใจความหมายต่างๆมากขึ้น และได้ลองปฎิบัติแบบเคลื่อนไหว แต่พอทำไปประมาณ15นาทีรู้สึกตัวว่าสั่นร่างกายเหมือนกระตุกไม่รู้จะทำยังไงเลยหยุดและเลิกทำและก็กลัวด้วยว่าเราจะเป็นอะไรแต่ใจก็ยังอยากจะปฎิบัติเหมือนเดิม จึงอยากจะเรียนถามว่า เราควรจะทำอย่างไรถ้าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอีก และก็อีกเรื่องหนึ่งค่ะ นั่งสมาธิประมาณ30นาทีจิตใจเริ่มไม่คิดอะไรฟุ้งซ่านแล้วอาการปวดหลังชาขาก็หายไปแต่รู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นขึ้นลงลง แต่หนูไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยเหมือนจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ก็เลยเลิกปฏิบัติ กลัวค่ะ แต่ก็รู้สึกดีมากค่ะสบายใจเหมือนร่างกายเราเบา หนูเลยอยากจะถามว่าถ้ากลับไปปฎิบัติหนูควรจะทำอย่างไรถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก

ตอบ

การฝึกสมาธิเล่นๆ ไม่มีเป้าหมายที่แน่วแน่ ทำเองก็ได้ แต่จะทำเพื่อฝึกชำระจิตให้สะอาดตามแนวพุทธธรรม จะต้องศึกษาให้เข้าใจจริงๆ หาไม่อาจหลงทาง การปฏิบัติธรรมแท้จริงก็คือการเดินทางออกจากทุกข์..สู่ความพ้นทุกข์ คุณธรรมทั้งหลายคือเสบียงหรืออุปกรณ์การเดินทาง สติปัญญาเป็นอาวุธ ... รู้สึกว่าจิตเธอจะมีคุณธรรมพื้นฐานดีอยู่นี่.

๖๖.

ถาม

อยากถามเรื่องสมาธิคือไปเรียนกสิณกับแม่ชีพิมพาที่มีข่าวเห็นนรก สวรรค์แล้วกับมาปฏิบัติที่บ้าน....ถามว่าการภาวนาว่าพุทโธกับการหลับตาเพ่งไปข้างหน้า ปฏิบัติแบบไหนสมาธิจะนิ่งเร็วกว่ากัน ที่ผมทำอยู่คือ..ตั้งใจหายใจลึกๆสามครั้งจิตก็อยู่เฉยๆไม่คิดอะไร มีแว๊บบ้างเป็นบางครั้งอย่างนี้เรียกว่าฌานที่เท่าไหร่

ตอบ

มันเป็นเรื่องของอินทรีย์แต่ละคน จิตแต่ละดวง การสั่งสมกุศลอกุศลอารมณ์ดีร้ายมาไม่เหมือนกัน เงื่อนไข ปัจจัยภายนอกภายในขณะลงมือปฏิบัติก็ไม่เหมือนเดิมทุกครั้งไป เอาแน่นอนอะไรไม่ได้..สมาธิก็คือกิเลสนะ ระวังมันจะล็อคคอเอาเสียล่ะ.

๖๕.

ถาม

สมัยก่อนตัวง่วงเนี่ยเจอประจำนะครับแต่จัดการมันไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาขับรถ ถ้าเปิดซีดีปุ๊บ มันจะเริ่มง่วงๆ เวลาที่ตัวง่วงมันจะมายังไง ผมก็ฟังนะ แต่ก็ยังรู้สึกไม่ได้นะ ได้แต่ฟังไว้ แต่ก็ยังจัดการกับความง่วงไม่ได้นะ ถ้าง่วงมากๆ ก็จอดรถนอนเหมือน แล้วมีอยู่วันนึง ขับรถอยู่ มันก็ง่วงขึ้นมา มันรู้สึกเลยนะ ว่าคล้ายๆ ว่า มันแผ่มาจากข้างบน มาถึงหนังตา หนังตามันจะหนักๆ พอหนังตาหนักๆ เนี่ยสติมันไปรู้เข้า ว่าหนังตามันหนักๆ มันตื่นขึ้นมาเลยนะ แบบไม่ง่วงอีก แต่เมื่อวานซืนที่ผมเจอนั้น ลักษณะจะเป็นแบบว่า ทั้งวันไม่ง่วงเลยนะครับ ไม่หาวเลย ซักครั้ง ตอนนั้นก็กำลังขับรถอยู่ ไม่ถึงห้านาที หาวแล้ว ง่วงมากๆ หนักตาหนักเลย มันรู้ ความง่วงก็หายไปซักพัก จิตมันก็พาไปคิดเรื่องอื่น สติมารู้ครับ ว่าหลงไป หลงไป รู้ไป เป็นอย่างนี้ ซักพัก เอาอีกมาอีกแล้ว หาว หนังตาหนัก สติระลึกรู้อีก หาวอีกเกือบยี่สิบครั้ง สู้กันอยู่นั้นแหละ จนความง่วงมันไปหมด มันก็ไม่ง่วงอีก ไปอีกก็หลับเลย และเมื่อวานเป็นนิดหน่อยช่วงกลับถึงบ้าน พอสติรู้ก็ หายไป สู้กันซักพักก็หายไป ตอนสู้กันนั้น ก็พยายามไม่ดูทีวี ก็ไม่อยากให้จิตมันไหลไป เลยนอนอ่านหนังสือวิปัสสนานุบาล สติมันมาที่กาย ตอนนอนอ่านอ่ะครับ เหมือนดูคนนึงอ่านหนังสือ ช่วงนั้นรู้สึกหิวนิดหน่อย ความหิวมันก็อีกส่วนนึง คนนอนอยู่ก็อีกส่วนนึง เป็นชั่วแวบนึง แต่ความง่วงก็ยังหายไปไม่หมดนะ นอนอ่านหนังสือซักพักถึงหายไป

ตอบ

กำลังดูตัวง่วงเป็น (1 ในนิวรณ์ 5 ) ภาษาพระเรียกธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือการมีสติระลึกรู้อารมณ์ที่มาเกิดกับจิต, ปฏิบัติมาถูกทางแล้ว ตั้งใจทำต่อไปนะ แต่สติตัวระลึกรู้หรือตัวดูอันนี้ต้องทำความเข้าใจให้มากๆด้วย.

๖๔.

ถาม

ผมอยู่ที่บ้านผมก็เดินจงกรมและสร้างจังหวะไปด้วยทุกวัน บางทีก็รู้ตัวโน้นตัวนี้เช่น ไปเข้าใจว่าการทำบาปเพราะอาหาร เป็นการทำบาปที่ใจเรานี้เอง ไม่ใช่เป็นการทำบาปแบบกินข้าวไม่หมดแล้วเททิ้งคือมันก็ใช่แต่เป็นการเข้าใจแบบภายนอก แต่พอมาเข้าใจว่าการทำบาปเพราะอาหารมันเกิดขึ้นที่ใจ พอเข้าใจแล้วกับเฉย ๆ คือมันไม่มีความอยากว่าอยากกินอีกหรือไม่อยากกินข้าว อันนี้อย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะเรียนถามหลวงตาคือว่าขณะที่ผมกำลังจะเข้าห้องน้ำมือผมกำลังหยิบสบู่เพื่อล้างมือ ในใจผมกลับเข้าใจคำว่า พ่อแม่ คือมันขึ้นมาในใจ สังเกตว่าพอเข้าใจพ่อแม่ ใจมันเบาและก็วางเรื่องของพ่อแม่ได้ ทำให้ผมเข้าใจว่าเราไปยึดถือในความเป็นพ่อเป็นแม่ว่าเป็นของเรา ผมก็เอะใจว่าทำไมเราไปเข้าใจตรงจุดนี้ได้ การเข้าใจพ่อแม่มันเป็นอย่างนี้นะครับหลวงตา คือว่าพอมันขึ้นมาในใจแล้ว เข้าใจว่าความเป็นพ่อแม่มันอยู่ที่ใจเรา บางคนบางครอบครัวพ่อแม่ดี ลูกไม่ดี ลูกก็ไปโทษพ่อแม่ อันนี้ลูกไม่มีความเป็นพ่อแม่ พ่อแม่ก็ทุกข์กับลูก บางคนบางครอบครัวพ่อแม่ไม่ดี แต่ลูกดี ลูกดีกลับรับในความเป็นพ่อแม่ไม่ได้ อันนี้ความเป็นพ่อแม่ในใจลูกมันมากเกินไป แต่แท้จริงแล้วในตัวเรามีความเป็นพ่อแม่ตั้งแต่เราอยู่ในท้องแม่ ถามว่าอยู่ตอนไหน ก็ตอนที่พ่อกับแม่รักกันเกิดความรักความเข้าใจเลยเกิดเป็นตัวเราขึ้นมา คล้าย ๆ กับว่าท่านให้กายและใจเรามา

พอผมเข้าใจตรงนี้ ใจผมวางความเป็นพ่อแม่ได้ แต่มาเอะใจว่าทำไมเราเข้าใจแล้ว แต่ความร้สึกตัวกลับไม่ต่อเนื่อง ผมก็ไม่คิดอะไรก็เจริญสติไปเรื่อย พอเจริญสติไปสักพัก กลับเข้าใจต้นเหตุของการสืบต่อแห่งความเป็นพ่อแม่ ( ที่ผมเข้าใจนี้ ผมไม่ได้คิดเอานะครับ แต่มันเข้ามาในใจเอง ) ถามว่าสืบต่อยังไง คือพอเราได้กายและใจมาแล้ว เราไปยึดมั่นในความเป็นแบบอย่างของพ่อแม่เรา ทำให้เราต้องมีภรรยา มีสามี มีลูก เข้าสังคม พอถึงตอนนี้ใจผมกลับตัดของการมีครอบครัว พอตัดปั๊บใจมันมาอยู่กับกาย แล้วใจผมมันก็หวั่น ๆ มันหวั่น ๆ แบบดีใจเหมือนกับว่ามันได้อะไรสักอย่าง ไม่ใช่เป็นความหวั่น ๆ แบบกลัวนะครับ ผมเดินกลับบ้านเหมือนใจมันแนบกับกายยังไงบอกไม่ถูกครับ

พอตกดึกผมก็สวดมนต์ และนั่งสร้างจังหวะ ใจผมมันเบามากเวลายกมือมันก็เบา มันเบาเหมือนนุ่นครับ เบาจริงๆ แต่ผมมาสงสัยว่าทำไมเวลามันเบาความรู้สึกตัวมันกลับไม่ชัด เท่านั้นล่ะครับ ทำให้ใจผมยิ่งกับมาอยู่กับอาการของกายมากขึ้น ทำให้สังเกตได้อีกว่า เวลาเดินจงกรมหรือสร้างจังหวะเรามักจะมีความคิดคล้าย ๆ กับว่าเราไปบังคับให้มันทำ แต่เป็นการบังคับแบบไม่ตั้งใจเกินไป แต่ความรู้สึกที่มันเป็นแบบธรรมชาติจริง ๆ มันถูกซ่อนเอาไว้อยู่ข้างในอีกที(ไม่ทราบว่าหลวงตาพออ่านแล้วจะเข้าใจหรือเปล่าครับ )

ผมอยากจะถามว่า มันเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไรครับ อยากจะขอคำแนะนำในการปฏิบัติต่อครับ ทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่ครับแต่เป็นการปฏิบัติแบบให้ใจกับกายอยู่แนบแน่นกันโดยที่ผมไม่ได้สนใจความรู้ภายนอก ถึงมันมีความรู้ภายนอกผมก็แค่เฝ้าดูมัน แต่ผมหันมาทำความรู้สึกตัวให้มากขึ้น

ความจริงยังมีอีกนะครับ ในเรื่องของอารมณ์ที่เข้ามาภายใน ทำให้ผมเข้าใจในความเป็นธรรมชาติจริงของคน แต่เรากลับไม่เข้าใจในความเป็นธรรมชาติ คือไม่ทราบจะอธิบายยังไง ผิดถูกอย่างไรขอคำชี้แนะจากหลวงตาด้วยครับ

ตอบ

1.ทำบาปเพราะอาหารก็คือเป็นทุกข์เพราะการกินนั่นแหละ ความทุกข์คือบาปที่แท้จริง เป็นเรื่องของจิต

2.เรื่องของสมมุตินี้มันมีเยอะมาก จิตอยู่กับปัจจุบันได้มากเท่าไหร่นานเท่าใด ผัสสะที่กระทบปัญญาก็จะเห็นกลายเป็นสมมุติทางอารมณ์เท่านั้น, ยิ่งถ้าเห็นสมมุติภายในจิตมากเท่าใด ปัญญาการเห็นสมมุติภายนอกก็เป็นผลมาจากอันนั้น ท่านจึงให้ดูวัตถุ ปรมัตถ์ อาการอย่างไงล่ะ จิตผู้ใดติดอุปทานในสิ่งไหน ปัญญามันต้องดึงมาระลึกรู้ใหม่อย่างถูกต้องเป็นสัมมาสติจนหมดเลยนั่นแหละ หากยังมีหลงเหลืออยู่ในจิตเพราะมิจฉาทิฐิหรืออวิชชาคลุมไว้มันก็จะระลึกรู้เปิดออกมาชำระจนได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

ลองไปหาดูซิว่ามีอะไรที่นอกเหนือไปจากสมมุติบ้าง สิ่งที่อยู่ภายใต้ไตรลักษณ์มันก็สมมุติทั้งนั้น พึ่งพาไม่ได้สักอันหรอก, ตามไปดูสิว่าใครคือผู้สร้างสมมุติ, ของไม่จริงคือสนิมของจิต เวลาได้สมาธิดีๆ สติต่อเนื่องมากๆก็เหมือนได้ฆ้อนวิเศษไปเคาะใจเรานั่นแหละ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรจะล่วงลงมาบ้าง

ใจถูกฉาบทาด้วยโลภ โกรธ หลงตัวไหน หากฆ้อนใหญ่เคาะกระเทือนไปถึงจุดใดสิ่งนั้นย่อมล่วงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว หากแจ้งในสมมุติสัจจะได้หมด วิมุติก็อยู่ไม่ไกล สะสมพอกพูนสติให้เป็นฆ้อนที่หนักๆเข้าไว้ก็แล้วกัน ฆ้อนใหญ่ๆไว้กันผี สติดีๆเอาไว้ตีระฆังใจ.

๖๓.

ถาม

ผมฝึกปฏิบัติมาได้สองปี ไม่ค่อยมีความก้าวหน้าอะไรเลย บางครั้งก็ยังมีหลงเข้าไปในความคิด ฟุ้งซ่านก็มาก เวลาไปวัดแล้วได้ดูวีดีโอผู้ปฏิบัติคนอื่นๆ บางคนมาแค่เจ็ดวัน แต่ปฏิบัติก้าวหน้าไปมาก ได้ทั้งรู้รูปนาม รู้สมมุต รู้ไตรลักษณ์ จนบางครั้งก็ทำให้ผมรู้สึกอิจฉาเขาและก็ท้อแท้ หมดหวังว่าอย่างเราคงแค่ได้อารมณ์เล็กๆน้อยๆไปวันๆเท่านั้น ผมควรจะทำยังไงต่อไปดีครับ

ตอบ

บุญใคร วาสนามัน.. การดูวีซีดี, การฟังเทศน์ฟังธรรม, ฟังดูมหรสพ, การกระทบผัสสะทางอายตนะต่างๆ อะไรก็ตาม ทำเพียงเพื่อรับรู้ เพื่อการศึกษา หรือเพื่อน้อมนำมาชำระจิต, ในบางกรณีก็มีประโยชน์ใช้ในการสอบทานเทียบเคียงอารมณ์ปฏิบัติของเราได้ไปในตัว

สิ่งที่น่าจะได้ หรือความคาดหวังของการใช้สื่อ บริโภคสื่อ ก็คือทำให้คนที่ยังไม่มีศรัทธาได้มีศรัทธา คนที่ยังไม่มีวิริยะได้มีวิริยะ คนที่ยังไม่มีศีลได้มีศีล คนที่ยังไม่มีสติได้มีสติ คนที่ยังไม่มีสมาธิได้มีสมาธิ คนที่ยังไม่มีปัญญาได้มีปัญญา คนที่ยังไม่หลุดพ้นได้หลุดพ้น...คือคนที่ยังหลงตัวเองได้รู้เห็นตนเองด้วยพุทธิปัญญา อย่างน้อยๆก็เกิดทัศนะใหม่ขึ้นมา ได้รู้ว่าการกระทำนี้มีผล การรู้ธรรมเห็นธรรมเข้าใจธรรมปรากฏเกิดได้ในปัจจุบันภพนี้และเป็นไปได้แม้ช่วงระยะเวลาจะจำกัดเพียงแค่ 7 วันก็ตาม

บุญเดิม วาสนาเก่าเรามีเท่าใดธรรมชาติของจิตจะต่อยอดจาก ณ จุดนั้นเท่านั้น หากผิดจากธรรมเดิมแท้ แม้จะด้วยเจตนาที่มาจากความโลภ โกรธ หลง หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตามเรียกว่าผิดเหตุปัจจัย คือผลที่เกิดจากปัจจัยตัวใหม่ที่ไม่ตรงตามธรรมมันสร้างทุกข์ให้กับจิตเราแน่ๆ เช่น ความอยากเป็นอยากมีอย่างผู้อื่นที่เหตุปัจจัยในจิตของเราตอนนี้มันยังไม่ใช่ บุญยังไม่มาวาสนายังไม่ส่ง ธรรมก็คงยังมาไม่ถึงแหละ

จงพิจารณาสังเกตคุณธรรม, อินทรีย์ของเราว่ามีอะไร เกิดอะไรปรากฏมาบ้างแล้ว ลำดับต่อไปคือสร้างเหตุปัจจัยตัวไหน... สิ่งที่พอหวังได้คืออะไร... หรือหากทำโดยไม่หวังอะไรเลยได้ก็ยิ่งดี กระทำโดยไม่ต้องหวังผลก็ถึงเป้าหมายได้, คนกินข้าวแม้ไม่หวังความอิ่มมันก็เกิดเอง แต่สิ่งที่เขาควรตระหนักและเรียนรู้ให้มากน่าจะเป็นสิ่งที่กิน และวิธีการกินต่างหาก...

๖๒.

ถาม

เคยได้ยินบ่อยครั้งทั้งในเทศนาของพระอาจารย์หรือบทความแนะนำเส้นทางธรรม เป็นอย่างไรครับที่เรียกว่า "ออกจากความคิด อย่าเข้าไปในความคิด"

ตอบ

หยุดคิด, ไม่หลงคิดไปกับความคิด, ไม่ปรุงแต่งเติม.

๖๑.

ถาม

เป็นธรรมดาที่เวลาขึ้นรถ ก็จะเปิดซีดีธรรมะ ฟังในรถไปตลอด ไม่ว่าจะไปติดต่องาน ที่ไหน ทั้งช่วงกลับ บ้านหรือมาทำงานที่บริษัท เรียกว่า ขึ้นรถปุ๊บนี่ เปิดซีดี ปั๊บเลย วันนั้นถ้าจำไม่ผิด คิดว่าไปติดต่องานข้างนอกบริษัท ช่วงไหนไม่แน่ใจ ครับ น่าจะเป็นเที่ยงๆ นะ ฟังท่านเทศน์ไปเรื่อย ๆ แบบว่าขับรถไปด้วยฟังไปด้วยครับ ท่านก็สอนไป แผ่นนี้เป็นแผ่นที่สองแล้วที่ฟังครับ ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าที่ท่านเทศน์ เป็นเรื่องอริยะสัจ ท่านกล่าวถึงเรื่องทุกข์ครับ

ท่านสอนว่า ชีวิตนี้มันทุกข์ นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรอย่างอื่น เพียงแต่จะทุกข์ มากหรือทุกข์น้อยแค่นั้นเอง พอได้ฟังท่อนนี้แล้ว รู้สึกมันโดนใจมากๆ เหมือนว่า เกิดมาไม่เคยได้ยินอะไรอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน คนที่คิดเรื่องนี้ นี่คิดได้อย่างไร ทำไม พระพุทธเจ้าท่านทรงคิดได้ขนาดนี้ จำได้ว่า ผม ตั้งขึ้นมาเลย ขนลุกเลย พอผมตั้งเสร็จ รู้สึกว่ามันเศร้า สัตว์โลก รวมถึงตัวเรา เวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร โดยไม่รู้เลยว่าชีวิตนี้มันมีแต่ ทุกข์ น้ำตามันก็ไหล ออกมา ร้องไห้ครับ เหมือนกับว่า สงสารสัตว์โลก รวมถึงตัวเราด้วยว่า มันต้องเวียนว่ายอย่างนี้ไปอีกงเมื่อไหร่ถึงจะจบสิ้น ร้องอยู่ซักห้านาทีได้นะ เรียกว่า ดูในกระจก ตาผมบวม จมูกแดงเลย หลังจากร้องแล้วก็รู้สึก ดีใจ โล่งใจ อย่างน้อยเราก็พอรู้แนวทางที่จะให้พ้นจากสภาพนี้ครับ

นับจากวันนั้น สนใจธรรมะมากขึ้น มองสิ่งที่อยู่รอบตัว เป็น ธรรมะมากขึ้น ได้คุยกับเพื่อนเรื่องธรรมะ สนใจธรรมะมากขึ้น เปิดทีวี ถ้าเห็นพระ ก็จะหยุดดู ว่าท่านจะสอนอะไร เหมือนๆกับว่าคอยฟังว่าน่าสนใจไหม ได้ความรู้ทางด้านทางธรรมเพิ่มขึ้น ไม่ค่อยทุกข์มาก ไม่แบกไว้เหมือนก่อนๆ ทุกข์มา ก็อยู่ไม่นานมากเหมือนก่อนครับ เกิดอะไรขึ้นกับผมครับ

ตอบ

ก็จิตคุณ get เรื่องธรรมะไง, กล่อมด้วยธรรมะทุกวันๆไม่โอนอ่อนมาบ้างก็ให้มันรู้ไป, ธรรมะคือความจริงของชีวิต แต่หากรู้จำมันไม่ซึ้ง เหมือนสะเก็ดไฟกระเด็นมาทีไรก็ไม่ติดไม้ เพราะเชื้อมันไม่มีหรือไม้มันยังชื้นเกินไป แต่พอเผารนทุกวันมันก็แห้ง ความเข้าใจมันมี สมาธิมั่น หมั่นทำใจปล่อยวางตามจิตมันเห็นจริงปัญญามันก็เกิด แต่จะเกิดมากหรือน้อยอยู่ที่การปล่อยวางนั่นแหละ อย่างกรณีนี้ก็ยังจำเป็นต้องแสวงหาความรู้มาเสริมเอาสติมาเติมเพื่อเพิ่มให้ตัวรู้อยู่กับปัจจุบันให้มากๆ อยู่กับปัจจุบันได้มากเท่าไหร่ ก็เห็นความจริงที่ปรากฏแบบที่จิตเราไม่เข้าไปยุ่งปรุงแต่งได้มากเท่านั้น รู้เห็นแล้วปล่อยวางด้วยความเข้าใจด้วยอำนาจพลังของไตรลักษณ์นั้นแหละพุทธะ ฟังธรรมะแล้วกินใจเหมือนไฟติดเชื้อ หากไม่มอดก่อนย่อมเผาหมด เชื้อคือกำลังใจ จะทำอย่างไรก็ได้ขอให้การศึกษาเรื่องนี้เดินหน้าต่อไป พยามยามพอกพูนศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาให้มีพลังกล้าแข็งจนถึงขั้นมีอำนาจหักล้างนิวรณธรรมได้แบบตัวต่อตัวกันโน่นเลยน่ะ งานข้างหน้ากิเลสกำลังสวมนวมรอเราอีกเพียบ.

ไม่มีความคิดเห็น: